แรงกดดันจากหัวหน้า…..มีประโยชน์
(POST  TODAY : 24-APRIL-06)

"ผมไม่ชอบที่นายมากดดันเรื่องงานกับผมเลย" มนตรีบ่นกับกิตติวิศวรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันในเย็นวันหนึ่งริมชายหาดที่ทั้งคู่พาครอบครัวมาพักผ่อนด้วยกัน
มนตรีเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งมา 3 เดือนแล้ว เขาได้ทำงานที่นี่เพราะมีพ่อเป็นผู้ฝากงานให้
"ผมไม่คิดว่าจะมีใครชอบหรอกที่ถูกกดดัน เพียงแต่ว่า แต่ละคนจะมีขีดจำกัดในการทนต่อแรงกดดันไม่เท่ากัน  คนที่ทนได้มากกว่าก็จะรู้สึกน้อยกว่าอีกคนหนึ่งที่มีความอดทนน้อยกว่า เห็นด้วยมั๊ย ?"กิตติแย้งอย่างตรงไปตรงมาอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะค่อนข้างสนิทกับมนตรี เขาทำงานมาแล้ว 3 ปีหลังจากเรียนจบ และยังไม่เคยเปลี่ยนงาน แม้เพื่อนฝูงจะได้ยินจากปากเขาว่างานที่ทำอยู่หนักมากก็ตาม
"อืมม.....ก็อาจจะมีส่วนนะครับ เพราะเวลาอยู่บ้านผมไม่เคยถูกกดดันอย่างนี้มาก่อน แทบไม่ต้องทำอะไรเลย  ตั้งแต่เล็กจนโต  ต้องการอะไรก็เรียกคนใช้ทำให้หมด ทุกวันนี้พี่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมายังเรียกผมติดปากว่าคุณหนูอยู่เลย  วันก่อนผมบ่นเรื่องงานหนักให้แม่ฟัง แม่ยังบอกให้ผมลาออกเลยแถมจะฝากงานใหม่ที่เป็นเพื่อนแม่ให้ด้วย แม่มีเพื่อนในทุกวงการเลย" มนตรีเล่าต่ออย่างติดลม
"ถ้าอย่างนั้น คุณก็อาจจะคิดว่าผมโชคดีกว่าคุณที่ไม่มีปัญหาแรงกดดันจากหัวหน้าเหมือนคุณละซิ!แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะถ้าจะบอกว่าผมโชคดีกว่าคุณที่ผมสามารถทนต่อแรงกดดันได้มากกว่าคุณ  พ่อผมเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่ผมต้องทำงานหนักเพื่อส่งเสียให้ผมและน้องได้เรียนหนังสือ  ผมเองก็ต้องช่วยแม่ทำงานในวันหยุด  แม้ในช่วงเรียนมหา'ลัย  ผมก็ต้องทำงานพิเศษนอกเวลาเรียนไม่ว่าตอนเย็นหรือวันหยุดเพื่อเอาตัวให้รอด คุณรู้มั๊ยว่าการที่ในระหว่างนั้นผมเคยชินกันคนดี ดีน้อย  ดีน้อยมาก หรือไม่มีความดีจนผมชินและไม่คาดหวังที่จะพบกับคนประเภทไหนเลย และนั่นทำให้ผมทนได้ทุกประเภท !" กิตติเล่าชีวิตในอดีตให้มนตรีฟังอย่างกันเอง
"มนตรี วันนี้เรามาถกกันเล่นๆเพื่อไม่ให้ดูหนักเกินไปกันมั๊ย คุณพูดเรื่องแรงกดดันในที่ทำงานซึ่งอาจจะเป็นความจริงก็ได้นะที่คุณไปเจอนายที่เขี้ยวสุดๆ แต่ผมคงช่วยคุณตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกว่าคุณควรลาออกตามที่แม่ของคุณบอกหรือไม่ เพราะไม่รู้จักนายของคุณดีพอ  แต่ก่อนอื่น.....  คุณบอกผมได้มั๊ยว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่ดังๆที่คุณรู้จักนะมีใครบ้าง ?"กิตติถามอย่างมีเลศนัยจน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มนตรีงงว่าจะมาไม้ไหนนะเนี่ย แต่ในเมื่อถูกถามหยอดมาแบบนี้  รับมุกเขาหน่อยจะเป็นไรไป !
"ROBERT T. KIYOSAKI คนแต่งเรื่อง RICH  DAD,POOR DAD ไง"
มนตรีตอบตามความคิดแรกที่แวบเข้าในสมอง เพราะเขากำลังไฟแรงอยากรวยเร็วและกำลังหาวิธีสร้างความร่ำรวยทางลัดจากหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปทั้ง 4 ตอน
"จนมาก่อนตอนเด็ก !" กิตติตอบสวนทันควัน "ใครอีก ?"
มนตรีเลิกลั่กก่อนนึกได้อีกชื่อหนึ่ง "WARREN BUFFET !"
"จนมาก่อน ตอนเด็ก !"กิตติตอบสวนอีกครั้ง
"JK ROWLING !" มนตรีเริ่ม INTREND กับ HARRY POTTER
"จนมาก่อนตอนเด็ก !" กิตติสวนอีก

"หลวงวิจิตรวาทการ" มนตรีตอบพร้อมกับยิ้มแฉ่ง เดี๋ยวจะหาว่าคนไทยไม่มีคนเก่ง
"จนมาก่อนตอนเด็ก !"กิตติตอบหน้าตาย
"SOICHIRO  HONDA"มนตรีเริ่มเร่งจังหวะการตอบขึ้นมา
"จนมาก่อนตอนเด็ก !"กิตติย้ำ

"ดอกเตอร์ ซุนยัดเซน"มนตรีหันมาทางเอเชียบ้างเพราะกลัวถูกกล่าวหาว่า โปรฝรั่ง
"จนมาก่อนตอนเด็ก !" กิตติตอบคำเก่า

"คุณรู้มั๊ยว่าคนที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นนะ เขาขอบคุณความลำบากในยามเด็กของเขาทั้งนั้น ! ทำให้มีโอกาสฝึกความอดทน ฝึกการเอาชนะปัญหาที่ผ่านเข้ามา จนเขาติดนิสัยที่เวลามี "ปัญหา" เขากลับมองว่าเป็น "ความท้าทายอีกชิ้นหนึ่ง"ที่เขาเคยเอาชนะมานับไม่ถ้วน "แล้วจะเป็นไร" หากจะมีเพิ่มมาอีกอันหนึ่ง ? คุณจะยักไหล่ใส่มันยังได้เลย"
"แล้วคุณรู้มั๊ยว่า ทำไมคนที่อยู่ในกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จที่คุณเอ่ยมาและที่เอ่ยมาไม่หมดที่ยังมีอีกมากนั่นนะ เป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์เพียงน้อยนิดของคนทั้งโลกเท่านั้นเอง  เขามีอะไรต่างกันเหรอ ?" IQ หรือ ? เปล่าเลย สิ่งที่พวกเขามีต่างจากคนอื่นๆตรงที่  การไม่มองความอับโชคของตนว่าเป็นปมด้อย แต่เป็นโอกาสในการพิสูจน์ความสามารถของเขาต่างหาก เขาไม่มองเจ้านายที่กดดันเขาว่าต้องการกลั่นแกล้งเขาเพื่อให้เขาลาออก แต่เขามองว่าเจ้านายอาจถูกกดดันมาอีกทีจึงต้องระบายต่อลูกน้อง หรือสภาวการณ์ทางธุรกิจกำลังคับขัน ทุกคนมัวมานั่งเอี้ยมเฟี้ยมรำยี่เกเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว หรือใครจะทำตัวเป็น UNTOUCHABLE ไม่ได้อีกแล้ว  เพราะการแข่งขันสูงขึ้น หากบริษัทต้องการอยู่รอด ต้องทำให้ทุกคนตื่นตัวอย่างพร้อมๆกันโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ หรือไม่สนว่าเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต หรืออีกหลายเหตุผลที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเรา  อย่าลืมนะว่า                    การที่นายมีข้อมูลมากกว่าย่อมมีเหลี่ยมมุมให้คิดให้ต้องทำก่อนจะเกิดปัญหา
โลกมีหลายมิติ
เหมือนคนที่อยู่บนชั้น 37-38 ย่อมมองเห็นไกลกว่าคนที่อยู่บนชั้น 4-5 เป็นต้นไง...ฉนั้นเวลาหัวหน้าเปลี่ยนวิธีทำงานที่กระทบเรา เราอย่าไปถือว่าตั้งใจมากระทบเราก็หมดเรื่อง เหมือนฝรั่งมีคำพูดคำหนึ่งว่า DON'T TAKE IT TOO PERSONALLY !...หรือคำไทยๆที่ว่า-สำหรับคนบางคน เรื่องไม่เป็นเรื่องก็เป็นเรื่องได้เสมอ..แต่สำหรับคนบางคนเรื่องเดียวกันก็ไม่เห็นจะมีปัญหา !!!----.เฮ้อ เหนื่อย ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย อย่าหาว่าผมทำเป็นเก่งที่มาสอนนะ ผมก็จำสิ่งที่คนอื่นเขาสอนมาอีกต่อนะแหละ !"
"ผมรู้แล้วหละว่าคุณแอบด่าผมทางอ้อมใช่ป่าว...ว่าผมเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนะ!  แต่ผมยินดียอมรับว่าไม่เคยรู้มาก่อนวันนี้จริงๆที่ว่า
ความลำบากที่เหมือนศัตรูของเรา  แท้ที่จริงก็เป็นเพื่อนที่แสนดี
เป็นเพื่อนแท้ ในขณะที่ความสบายที่เหมือนเพื่อนแต่กลับกลายเป็นศัตรูตัวร้ายเสียเอง  ....แล้วก็อย่าไปคาดหวังสูงเกินไปว่าคนอื่นจะต้อง TREAT เราดีตามที่เราคิดเสมอไป เพราะเวลาของเขากับเวลาของเราอาจจะไม่ตรงกันเสมอไปใช่มะ !
กับงานที่เคยคิดว่า...... "ถูกกดดันจากนาย" เพราะแรงกดดันนี้แหละจะให้ประโยชน์กับผมในภายหน้า หากผมรู้จักเลือกทัศนคติเชิงบวกในการตอบสนองมัน !"
ผมรู้แล้วละว่าผมต้องปรับตนเองให้ TOUGHมากขึ้น
"พอ...พอแล้ว  จะสรุปอะไรก็ว่ามา  ขี้เกียจคิดแล้วครับ"มนตรียอมแพ้