ตอนที่ 9...อวสาน
ทีมใส่ใจให้บริการ
  ทีมใส่ใจให้บริการมีวิธีนำเสนอที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงนับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้น่าสนใจขึ้นอีก
เริ่มด้วยเสียงดนตรีประกอบในลีลาชวนฝัน ก่อนที่ผู้ร่วมทีมคนหนึ่งจะกล่าวขึ้นว่า “หลับตาปล่อยใจสบาย ๆ สักหนึ่งนาทีก่อนนะคะ หายใจลึก ๆ แล้วฉันจะพาคุณไปสัมผัสจินตภาพต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถใส่ใจกับสิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่”
  จากนั้น เธอก็นำร่องเข้าสู่รายการ “ขอเชิญรับฟังข้อคิดบางอย่างจากทีมเรา ปล่อยใจสบาย ๆ นะคะ
หายใจสม่ำเสมอ ไม่ต้องลืมตาค่ะ”
  เริ่มด้วยการอ่านลำนำกำลังใจ มีบทหนึ่งกล่าวว่า :
   
  อดีตกาล ผ่านแล้วเลยไป
  อนาคตไซร้ ยังไม่ผ่านมา
  ปัจจุบัน คือของขวัญที่อยู่ตรงหน้า
  ทำวันนี้ให้มีค่า วันข้างหน้า-ข้างหลังจักงดงาม
   
  แล้วจอห์นก็ออกมาเล่าเรื่องของตัวเอง “ชีวิตผมดิ้นรนมามาก” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อย “ผมเคยทำงานตัว
เป็นเกลียวหาเลี้ยงครอบครัวจนไม่มีเวลาพักเลย วันนึงลูกสาวชวนผมไปเดินเล่นในปาร์ค ผมบอกลูกว่า ผมก็อยากไปแต่ยังไม่ว่าง ให้ลูกรอจนผมเสร็จงานก่อน แต่แล้วงานก็ประดังเข้ามาจนผมหมดเวลาไปทั้งวัน แล้วมันก็สะสมไปเรื่อยๆเป็นทั้งเดือน..ทั้งปี”เขาพูดต่อด้วยเสียงสะอื้นว่าสี่ปีผ่านไป เขาก็ยังไม่ได้ไปเดินเล่นในปาร์คและลูกก็โตเป็นสาวน้อยวัยสิบห้าแกไม่สนใจจะไปเดินเล่นในปาร์คแล้ว และที่สำคัญ ไม่สนใจพ่อด้วย
  จอห์นหยุดพูด สูดหายใจลึก “ผมคุยกับคนขายปลา
คนหนึ่งเรื่องการเอาใจใส่ผู้อื่น แล้วผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ผมไม่ค่อยจะ ‘อยู่ตรงนั้น’ กับคนที่อยู่ตรงหน้าผม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน คนขายปลาบอกให้ผมพาครอบครัวมาเที่ยวตลาด ทีแรกลูกสาวผมไม่ยอมไป แต่ผมตื๊อจนลูกใจอ่อน วันนั้นเรามีความสุขกันมาก ผมสามารถสั่งตัวเองให้อยู่ตรงนั้นกับลูก ๆ ได้ แล้วตอนที่ภรรยาพาลูกชายเข้าร้านของเล่น ผมกับลูกสาวก็นั่งคุยกัน ผมขอโทษลูกที่ไม่ได้ใส่ใจกับแกเท่าที่ควร ผมบอกแกว่า ถึงแม้ผมจะแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ผมอยากให้ลูกรับรู้ว่า ผมมีความตั้งใจที่จะ ‘อยู่ตรงนี้-เพื่อวันนี้’ กับลูก ๆ ลูกสาวผมฟังแล้วบอกว่าจริง ๆ แล้วผมเป็นพ่อที่ไม่เลวนักหรอก แต่แกก็ยังอยากเห็นผมอารมณ์ดีกว่านี้..”์
ริมฝีปากจอห์นเริ่มปรากฏรอยยิ้ม “ผมยังต้องปรับปรุงอีกเยอะนะ แต่ตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้ว ความใส่ใจอาทรทำให้ผมค้นพบสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ตัวว่าได้ทำหายไปนานแล้ว ความผูกพันระหว่างพ่อลูกไงล่ะ”
  เมื่อจอห์นพูดจบ ลอนนี่กระซิบกับแมรี่เจนว่า “คนขายปลาที่เขาพูดถึงคือเจค็อบ ตั้งแต่ได้ช่วยจอห์น
เขาก็อารมณ์ดีมาก เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขารู้รสชาติความอิ่มอกอิ่มใจจากการช่วยผู้อื่น”
  เจเน็ตเป็นอีกคนที่กลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่เมื่อเธอเล่าเรื่องเพื่อนร่วมงานเก่ารายหนึ่ง “เธอพยายามเรียก
ร้องความสนใจ แต่ฉันกำลังวุ่นกับเรื่องส่วนตัวหลายอย่าง เราเลยไม่ได้ติดต่อกัน แล้ววันนึงก็เกิดเรื่องใหญ่ ทางบริษัทสงสัยว่าเธอทำงานไม่สำเร็จแล้วยังเขียนรายงานหลอก ๆ อีก และก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว เธอตกงาน บริษัทเสียลูกค้าไปหนึ่งราย เท่ากับเสียรายได้ก้อนใหญ่ ฉันเองก็ตกงาน เพราะเราไม่สามารถทำอะไรชดเชยให้ได้ ทุกอย่างนี่จะไม่เกิดขึ้นถ้าฉันใส่ใจกับเพื่อนร่วมงานที่ต้องการให้ฉันช่วย”
  รายถัดมาคือเบธ เธอเล่าเรื่องที่ตัวเองกำลังปั่นจักรยานออกกำลังหน้าจอทีวีและพยายามอ่านหนังสือ
ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเห็นลูกชายเดินหน้ามุ่ยมานั่งที่โซฟา เธอรู้ทันทีว่าแกกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ “คนเป็นแม่ต้องดูออกอยู่แล้ว” เธอพูด “ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันคงคุยกับเขาโดยที่ตัวเองยังทำทุกอย่างต่อไปเรื่อย ๆ แต่บทเรียนจากการหย่าร้างสอนฉันว่า ประสิทธิภาพในการใช้เวลาไม่ใช่เรื่องดีงามถูกต้องเสมอไปสำหรับคนที่เรารัก ฉันจึงปิดทีวี ลงจากจักรยาน วางหนังสือ แล้วใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนั่งฟังปัญหาชีวิตของลูกอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วฉันก็ดีใจที่ได้เลือกอยู่ตรงนั้นกับลูกอย่างเต็มที่”
  พนักงานอีกสองสามรายเสริมความเห็นด้วยการเล่าเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานของตน แล้วในที่สุดพวก
เขาก็ปาวารณาตนที่จะใส่ใจเอื้ออาทรเพื่อนร่วมงานและลูกค้าภายใน “ถ้าคุณใส่ใจกับเขา คุณก็จะมีน้ำใจไมตรีให้เขา” ลูกทีมคนหนึ่งสรุป และพวกเขายังแสดงความมุ่งมั่นที่จะใส่ใจในเรื่องที่คุยกับลูกค้าหรือคุยกันเองด้วย พวกเขาจะตั้งใจฟังไม่ไถลไปสนใจอย่างอื่นในขณะรับฟัง ในหมู่พนักงานด้วยกัน พวกเขาอยากให้มีการสะกิดเตือนกันเองด้วยคำถามเช่น “สะดวกจะคุยตอนนี้มั้ย?” หรือ “คุณอยู่ตรงนี้รึเปล่า?” และความลำบากใจในการเอ่ยปากทักทำนองนี้ก็หมดปัญหาเมื่อมีการตั้งสัญญาณมาตรฐานให้รู้กันว่านี่ไม่ใช่การจับผิดส่วนตัว “ตาลอยแล้วนะ” คือประโยคที่จะใช้ส่งสัญญาณเตือน และทุกคนรับปากว่าจะนำไปปฏิบัติ รวมทั้งตกลงกันด้วยว่า จะไม่อ่านหรือเขียนอีเมล์ขณะที่กำลังพูดโทรศัพท์กับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า
 
ทีมทัศนคติ
  และแล้วก็ถึงวาระของทีมทัศนคติการรายงาน
ปากเปล่าเป็นไปอย่างรวบรัดชัดเจนตรงเป้า “ต่อไปนี้คือผลดีที่ทีมเราเห็นว่า เกิดจากการเจาะจงเลือกทัศนคติ”
  “ประการแรก การยอมรับว่าคุณมีทัศนคติที่
ต้องเลือกแสดงว่าคุณมีความรู้สึกรับผิดชอบส่วนตัวและต้องการเป็นฝ่ายรุก เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้ชั้นสามของเรามีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว”
  “ประการต่อมา การเลือกทัศนคติ กับ การทำตัวเป็นเหยื่อ จะนำไปสู่สิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
  “ประการสุดท้าย เราหวังว่า ทัศนคติที่คุณเลือกจะนำพาส่วนที่ดีที่สุดของคุณมาเข้าที่ทำงาน
และทำให้คุณรักงาน แม้เราไม่สามารถทำสิ่งที่เรารักอย่างแท้จริงได้ในวันนี้ แต่ทุกคนก็สามารถเลือกรักสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ เราสามารถนำเอาคุณสมบัติที่ดีที่สุดของตนเองมาทำงาน ถ้าเราตั้งใจเลือก และถ้าเราทำสำเร็จ ที่ทำงานของเราก็จะกลายเป็นโอเอซิสแห่งพลังชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ และความยืดหยุ่นพลิกแพลงในทะเลทรายอันร้อนแรงแห่งวงการธุรกิจ”
   
แนวทางปฏิบัติสำหรับการเลือกทัศนคติ
  มาร์กาเร็ต โฆษกประจำทีมผู้มีบุคลิกแคล่วคล่องว่องไว เสนอว่า การวางแผนปฏิบัติในการเลือกทัศนคติ
เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งตนเองเป็นหลัก “หลายคนหลงลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเลือกได้ เรามีความเห็นอกเห็นใจให้กัน แต่ก็ต้องช่วยกันฟื้นฟูความสามารถที่จะเลือกทางชีวิตด้วย ถ้าคุณไม่รู้หรือไม่เชื่อว่าตัวเองมีทางเลือก คุณก็จะไม่มี ในกลุ่มเรามีบางคนถูกมรสุมชีวิตซัดกระหน่ำจนตั้งตัวไม่ติด จึงยังต้องอาศัยเวลาที่จะซึมซับความคิดที่ว่า เราเลือกเปลี่ยนทัศนคติได้”
  ลูกทีมอีกคนรับช่วงต่อ “เรามองเห็นสองช่องทางที่จะนำไปสู่การเลือกทัศนคติ และได้เริ่มดำเนินการไป
บ้างแล้ว”
  “ในด้านหนึ่ง เราได้สั่งซื้อหนังสือสำหรับทุกคน Personal Accountability : The Path to a
Rewarding Work Life เราจะจัดวงอภิปรายหลังจากที่พวกคุณได้อ่านกันแล้ว และถ้าได้ผล เราก็จะมีเล่มต่อไปให้อ่านกันอีก คือ Raving Fans, The Seven Habits of Highly Effective People. Gung Ho!, และ The Road Less Traveled แต่ละเล่มจะช่วยให้เราเข้าใจความหมายของการเลือกทัศนคติดียิ่งขึ้น”
  “อีกด้านหนึ่ง เราได้จัดเมนูทัศนคติให้ทุกคนเลือกตอนเข้าที่ทำงาน พวกคุณได้เห็นเมนูหน้าลิฟท์นั่นแล้ว
เราเองก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ เลยไม่รู้จะให้เครดิตยังไง แล้วนี่ ..ต่อไปนี้คุณจะมีเมนูส่วนตัวสำหรับแต่ละวันแล้ว”
  แมรี่เจนก้มลงมองเมนูส่วนตัวของเธอมันเป็นแผ่นเอกสารสองด้านด้านหนึ่งมีรูป ‘หน้ายักษ์’
รายล้อมด้วยคำว่า โกรธ, บึ้ง, เบื่อ, เซ็ง ฯลฯ อีกด้านเป็นรูป ‘หน้ายิ้ม’ วงล้อมด้วยคำว่า ยิ้มแย้ม, แจ่มใส, ใส่ใจ, ช่วยเหลือ, สร้างสรรค์ และข้างบนมีข้อความตัวโตว่า คุณเลือกได้ นี่เป็นการสานต่อที่เข้าท่าจากเมนูแผ่นใหญ่ตรงทางเข้าที่ทำงานชั้นสาม แมรี่เจนรีบลุกไปแสดงความยินดีกับเพื่อนร่วมงานทุก ๆ คน ลอนนี่ตามมายืนยิ้มอยู่ข้างหลังเหมือนจะให้กำลังใจตามแบบฉบับของเขา หลังอาหารเที่ยงเธอจึงได้หยุดปากพูดคุยอภิปราย เธอรู้แล้วว่า หลุมขยะพิษกำลังถูกชำระล้างแล้ว และคงสะอาดเอี่ยมในไม่ช้า
  ลอนนี่เดินไปส่งแมรี่เจนถึงหน้าตึกที่ทำงาน ไม่แปลกที่มีคนหยุดจ้องมองเขาและเธอตามรายทาง
ใครบ้างจะไม่รู้สึกพิศวงเมื่อเห็นสาวชุดสูทมาด
นักธุรกิจเดินคู่กับหนุ่มแผงปลาในชุดทำงานเต็มยศ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือหลายคนรู้จักกับลอนนี่ด้วย
  “เจ้านายคุณไม่รู้ใช่มั้ย เรื่องที่บริษัทอื่นจะมา
แย่งตัวคุณน่ะ?” ลอนนี่ถามขึ้น เมื่อสองสัปดาห์ก่อนแมรี่เจนได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากบริษัทคู่แข่งของเฟิร์สต์ การันตี พร้อมข้อเสนอเย้ายวนใจสำหรับการย้ายงาน
  “คงไม่รู้หรอกค่ะ ฉันคิดว่าคนที่ติดต่อมาได้
ไปคุยกับเจ้านายเก่าของฉัน เธอเพิ่งลาออกจากเฟิร์สต์ การันตีได้ไม่นานได้ไม่นานเพราะได้งานใหม่ชั้นยอดที่พอร์ตแลนด์และเรื่องนี้ฉันไม่ได้บอกใครเลยในที่ทำงาน”
  “ทีแรกผมไม่เข้าใจเลยว่า คุณปฏิเสธข้อเสนอระดับนั้นได้ยังไง แต่ตอนนี้ผมมองออกแล้ว
คุณกำลังทุ่มสุดตัวกับการปรับปรุงงานที่นี่แล้วคุณก็ไม่อาจทำให้คนที่นี่ต้องผิดหวังด้วย ใช่มั้ยล่ะ?”
  “นั่นแค่ส่วนนึงค่ะลอนนี่ อีกเหตุผลก็คือ ถ้าฉันทุ่มสุดตัวจนเฟิร์สต์ การันตี กลายเป็นที่ทำงาน
ที่แสนดีขึ้นมา แล้วฉันจะหนีไปทำไมล่ะ? เวลาแห่งความสุขเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นนะนี่”
   
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ : ร้านกาแฟ..หนึ่งปีต่อมา
  แมรี่เจนเปิดหนังสือ สารพันวันดี เล่มโปรด พลิกไปที่หน้า 7 กุมภาพันธ์
  ข้อคิดในนี้เป็นอมตะจริง ๆ เธอคิด ปีก่อนฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้ นึกสงสัยว่าตัวเองจะชำระสะสางหลุมขยะพิษ
นั่นได้มั้ย แล้ววันนั้นฉันก็คิดได้ว่า ฉันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และถ้าจะแก้ปัญหาก็ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน ถึงจะไปนำคนอื่นได้
  การเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่โรงแรมนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่วิเศษมาก พนักงานพวกนี้มีศักยภาพล้นเหลืออยู่
ู่ในตัว แต่ก็ต้องอาศัยคนขายปลามาช่วยสตาร์ทเครื่องให้ เดี๋ยวนี้ชั้นสามเปลี่ยนไปไม่เหลือร่องรอยเดิมแล้ว ปัญหาใหม่ของเรามีแต่ว่า พนักงานแผนกอื่น ๆ อยากย้ายมาอยู่ชั้นสามกันหมด หวังว่า ความเข้มแข็งคึกคักของเราจะยังคงอยู่อย่างนี้ตลอดไปนะ
  รางวัลจากประธานกลุ่มบริษัทก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่น่าปลื้ม สงสัยจัง ท่านประธานหลวมตัวรับปากได้ไงตอนที่
ี่ฉันขอให้สั่งพิมพ์เกียรติบัตรหลาย ๆ ใบ.. ใบแรกของฉันเอง แล้วก็ให้บิล ให้พนักงานทุกคนในแผนก ให้ลอนนี่ ให้คนงานร้านปลาทุกคนด้วย ฉันปลื้มมากที่เห็นมันแขวนอยู่หน้าโต๊ะแคชเชียร์ในตลาดปลาไพค์เพลซที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลก แล้วอีกใบแขวนเด่นอยู่ข้างฝาห้องนั่งเล่นบ้านลอนนี่
  เธอเปิดสมุดบันทึกไปหน้าที่คัดลอกข้อความประจำใจไว้ มันเป็นข้อเขียนของจอห์น การ์ดเนอร์ เรื่อง
คุณค่าของชีวิต
   
   
คุณค่า
   
  ‘คุณค่า’ ไม่ใช่สิ่งที่เราเดินไปเจอเข้าแบบเล่นเกมล่าสมบัติ คุณค่าคือสิ่งที่คุณสร้างขึ้นในชีวิต
  คุณเองคุณสร้างมันขึ้นจากพื้นฐานที่มาของคุณ จากความรักภักดีและผูกพันของคุณ จากประสบการณ์ร่วมของมนุษยชาติที่ถ่ายทอดมาสู่คุณ จากสติปัญญา ความสามารถและความเข้าใจ จากสิ่งที่คุณเชื่อ จากผู้คนและวัตถุ สิ่งของที่คุณรัก จากบรรทัดฐานค่านิยมที่คุณพร้อมจะเสียสละอะไรบางอย่างเพื่อดำรงรักษามันไว้ องค์ประกอบเหล่านี้มีอยู่พร้อม แต่คุณเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถนำมาผสมผสานเป็นรูปรอยแบบแผนของสิ่งที่จะกลายเป็นชีวิตคุณ จงทำให้มันเป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าสำหรับตัวคุณเอง ถ้าคุณทำได้ จุดพลิกผันระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องหมิ่นเหม่อีกต่อไป
   
 
จอห์น การ์ดเนอร์
   
  แมรี่เจน ป้ายน้ำตาที่เริ่มเอ่อท้นขึ้นมา ขณะปิดสมุดบันทึกความคิดและข้อความบันดาลใจของเธอ
  “ลอนนี่คะ ขอชิมขนมนั่นซักคำซิ ก่อนที่คุณจะฟาดเรียบน่ะ” ลอนนี่นั่งเอกเขนกอ่านหนังสือเงียบ ๆอยู่ตรง
หน้าเธอเขาเลื่อนจานขนมให้ด้วยท่าทีสบายๆแต่พอเธอเอื้อมมือจะหยิบก็เห็นแหวนหมั้นเพชรเม็ดเล็กวางเด่นเป็นสง่าอยู่บนหัวปลาที่กำลังอ้าปากกว้าง เธอเงยขึ้นสบตาลอนนี่ซึ่งกำลังเลิกคิ้วรอคำตอบด้วยท่าทีกระวนกระวายสุดขีด แล้วเธอก็หัวเราะก๊ากจนแทบสำลัก “โอย..ลอนนี่.. ค่ะ! ตกลงค่ะ! ฉันตกลง! แต่ทำไมคุณต้องเล่นพิเรนทร์แบบนี้ด้วย?”
  นอกร้านก็ยังเป็นอีกวันหนึ่งที่ซีแอตเติลมืดหม่นฝนพรำและหนาวเย็น แต่สิ่งที่ถูกเลือกข้างในช่างเป็นอะไร
ที่แตกต่างเหลือเกิน
   
 
พิธีมอบรางวัล
 
จากประธานกลุ่มบริษัท
ประธานกลุ่มบริษัทเป็นสุภาพสตรีมาดสง่า เธอก้าวขึ้นแท่นปราศรัยแล้วกวาดสายตามองผู้ชม เหลือบตาลง
มองกระดาษร่างคำปราศรัย แล้วเงยขึ้นกล่าวว่า “คืนนี้ ฉันรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต อะไรบางอย่างที่แสนวิเศษได้เกิดขึ้นกับ เฟิร์สต์ การันตี บนชั้นสามที่เป็นแผนกหลังฉากของเรา แมรี่เจน รามิเรช กับทีมงานของเธอได้ค้นพบว่า การทำงานด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ในขณะก้าวเข้าประตูที่ทำงานทุก ๆ เช้า มันเป็นเรื่องง่าย ๆ เหมือนกับการถามว่า “วันนี้จะเป็นวันดีมั้ย?” แล้วเราก็ตอบว่า “แน่นอน! เพราะฉันเลือกที่จะทำให้มันเป็นวันดี!”
  “บัดนี้ พนักงานเก่าของเราต่างไฟแรงคึกคักราว
กับเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ๆ และงานที่เคยเป็นเพียงภารกิจประจำวันก็กลายมาเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ ฉันรู้มาว่าเคล็ดลับแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้มาจากตลาดปลาใกล้ ๆ นี่เอง ทีมงานชั้นสามได้ไปดูแล้วตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ามีใครทำให้ตลาดปลากลายเป็นที่ทำงานชั้นยอดได้ เราก็น่าจะทำให้ทุก ๆ แผนกของ เฟิร์สต์ การันตี เป็นที่ทำงานชั้นยอดได้เช่นกัน”
  เคล็ดลับแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ถูกจารึกไว้บนแผ่น
ป้ายโลหะที่ติดอยู่หน้าอาคารสำนักงานใหญ่ของเรา โดยมีข้อความดังนี้ :
   
 
ที่ทำงานของเรา
   
ขณะที่คุณเดินเข้ามาทำงานในนี้ โปรดเลือกทำวันนี้ให้เป็นวันดี แล้วเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ทีมงานของคุณ และตัวคุณเองจะซาบซึ้งกับสิ่งที่คุณทำ จงคิดหาวิธีเล่นด้วย เราจริงจังกับงานโดยไม่ต้องเครียดกับตัวเองก็ได้ จงรวมศูนย์ใส่ใจต่อลูกค้าและเพื่อนร่วมงานที่ต้องการคุณ และเมื่อคุณรู้สึกหมดไฟ ลองใช้สูตรรับประกันทันใจนี้ดู.. มองหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการคำปลอบใจ หรือต้องการผู้ฟังที่ดี แล้วจงสร้างสรรค์วันดี ๆ ให้แก่เขา
 
 
………………………อวสาน