JOHN NASH , A BEAUTIFUL MIND AND GAME THEORY

 
เมื่อวันที่ 22 กพ. 49 ผมได้มีโอกาสไปฟัง ศาสตราจารย์ Ariel Rubinstein ผู้ซึ่งเป็น Professor คณะเศรษฐศาสตร์ที่ Princeton University และ Tel Aviv University ที่ให้เกียรติมาบรรยายเรื่อง John Nash , A Beautiful Mind and Game Theory แก่โครงการวิจัย Chicago University ในมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
 
สาเหตุที่ผมสนใจไปฟังมี 2 ประการครับ
1-Game Theory เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ในการตัดสินใจ ที่เลือกจะทำอะไรก็ตามในทิศทางใดทิศทางหนึ่งโดยพยายามแปรข้อมูลที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Factor) ให้จับต้องได้ (Tangible Factor) แปรข้อมูลเป็นตัวเลข และสร้างเป็น Model เพื่อช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถเลือกตัดสินใจบนพื้นฐานเพื่อผลลัพธ์ประโยชน์สูงสุด แทนการตัดสินใจที่มาจากความรู้สึกซึ่งมีแนวโน้มที่จะผิดพลาดมาก กว่า และเนื่องจากการตัดสินใจของมนุษย์ในทางใดทางหนึ่งย่อมส่งผลต่อ การกระทำของตนและต่อ PRODUCTIVITY ของส่วนรวม
ดังนั้น Game Theory จึงถูกใช้มากในการเจรจาต่อรอง การบริหารบุคคล การวางระบบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2-A Beautiful Mind เป็นหนังที่ผมเคยดูมาก่อน ( ไม่รู้ว่าทำไมจึงตั้งชื่อนี้ ) แสดงโดย Russell Crowe ซึ่งผมเพิ่งทราบมาในภายหลังว่าสร้างมาจากประวัติชีวิตจริงของนักศึกษาคณิตศาสตร์ระดับ Genius คนหนึ่งใน Princeton University ที่ชื่อ John Nash ผู้ซึ่งหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์มากจนกระทั่งพยายามสร้างสูตรคณิตศาสตร์ในการ อธิบายทุกๆสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขา ตั้งแต่การก้าวเดินของนกพิราบ ว่าน่าจะเป็นไปตามสมการใดสมการหนึ่ง หรือพฤติกรรมของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ว่าจะมีสูตรคณิตศาสตร์ใดบ้างที่จะช่วยทางสาขาเศรษฐศาสตร์ในการก่อ
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและต่อสังคมโดยรวม(เพื่อให้เข้าใจเขามากขึ้นเราควรจะรับทราบว่าช่วงที่เขาอยู่ใน Princeton นั้นอยู่ในยุคสงครามเย็น — อเมริกา —VS--- รัสเซีย -- ที่กำลังเอาชนะ
กันทุกด้าน : อาวุธ , ความก้าวหน้าทางอวกาศ , หรือ ทางเศรษฐกิจ ! เขาถูกปลูกฝังให้เป็นคนรักชาติ มาก และเป็นสาเหตุ ที่เขาจริงจังกับเรื่องการนำความรู้ ทางคณิตศาสตร์มาใช้ให้เกิด ประโยชน์กับประเทศชาติให้มาก ที่สุด ) เขาเป็นคนแรกๆที่กล้าแย้ง ทฤษฎีของปราชญ์ ทางเศรษฐศาสตร์ที่โด่งดังมากและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในสมัยของเขาคนหนึ่งที่ชื่อ Adam Smith ที่กล่าวว่า“ Individual's ambition serves the common conquer”
--- ความทะเยอทะยานของแต่ละปัจเจกบุคคลจะนำมาสู่ผลประโยชน์ร่วมของสังคม --- แต่ John Nash แย้งว่า “Best result comes from everyone does the best for himself … and the group ”--- ผลประโยชน์สูงสุดมาจากการที่แต่ละคนทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเพื่อตนเอง … และเพื่อส่วนรวม --- เขายังได้คิดทฤษฎี EQUILIBRIUM ซึ่งเป็นผลงานหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มหายป่วยจากโรคประสาทหลอน ที่เขาป่วยอยู่ถึงเกือบ 30 ปี และทำให้เขาต้องกลายเป็นคนตกงานจากการเป็น Professor เพราะ Princeton เห็นว่าเขาไม่สามารถสอนหนังสือได้อีกต่อไป !
 
ในระหว่างนี้เขากลายเป็นส่วนเกินของสังคม ใครๆก็มองว่า เขาเป็นบ้า ยกเว้นภรรยา --- Alicia ที่คอยเฝ้า ดูแลอย่างอดทนต่อแรงกดดันทุกทาง รวมทั้งผลักดันให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมหมกตัวอยู่แต่ในบ้านยอมออกจากบ้านเผื่อจะได้ดีขึ้น จากการพบเห็นโลกภายนอก เริ่มจากรอบๆบ้าน ค่อยๆขยับไป ไกลขึ้นๆ จนในที่สุด เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องสมุดของ Princeton ที่ซึ่งเขาเริ่มรู้สึกดีขึ้นจากการที่มีนักศึกษาใหม่ๆที่ียังชื่นชมความเป็นอัจฉริยะของเขามาขอความรู้จากเขา เพิ่มจาก 1 คนเป็น 2 คนจนเต็มห้องสมุดในที่สุด !ปาฏิหาริย์มีจริง !
การได้รับการยอมรับจากสังคมทำให้อาการโรคประสาทหลอนทุเลาลงได้จนเกือบปกติ !
 
ในวันที่เขาขึ้นรับรางวัลโนเบล เขากล่าวสั้นๆว่า “ ตลอดชีวิตของผม ผมเชื่อในตัวเลขมาโดยตลอด แต่ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมานี้ ผมเชื่อในพลังบริสุทธิ์ของความรักจากภรรยาผมด้วย .... ” เขาได้รับเสียงปรบมือลั่นห้องประชุม !
 
Professor Ariel Rubinstein ได้เล่าว่า John Nash ยังมีชีวิตอยู่ อายุ 78 ปี แม้จะได้รับรางวัลโนเบล เขายังอาศัยในบ้านหลังเก่าเล็กๆอย่างสมถะ !
 
ผมขอให้ Prof. Rubinstein ยกตัวอย่างของการใช้ Game Theory ในการต่อรองการค้าโลก ท่านไม่ตอบตรงๆ แต่เปรยอย่างมีนัยที่น่าสนใจมากๆว่า :
 
การใช้ Game Theory ตรง ๆอาจจะไม่เด่นชัด แต่การใช้ประโยชน์ทางอ้อมมากกว่าที่มีค่ามหาศาล ! มนุษย์ทุกคนมีกิเลส ต้องการประโยชน์ต่อตนเองสูงสุด ! ---- โดยมักลืมไปว่าคนอื่นเขาก็คิดเหมือนกัน ดังนั้น หากแต่ละคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว โดยไม่ให้น้ำหนักกับความรู้สึกของผู้อื่นแล้ว ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นแน่นอน !!!
 
การที่มี Game Theory ที่สอนโดย Professor ต่างๆในมหาวิทยาลัย นั้น เป้าหมายที่ลึกล้ำคือต้องการปลูกฝังความคิดคำนึงถึงผู้อื่นว่า “ เขาก็เหมือนเรา มีความต้องการเหมือนกับเรา ” ผลของแนวคิดนี้จะทำให้ผลการเจรจามุ่งเน้นไปที่ WIN—WIN Concept มากกว่า WIN—LOSE ! ซึ่ง WIN—LOSE มีแนวโน้มทำให้โลกมีแรงกดดันมากกว่าโดยใช่เหตุ ในขณะที่ WIN—WIN จะนำสันติภาพมาสู่โลก !! และนี่คือเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยทั่วโลก !
 
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจึงตั้งชื่อหนังสือและหนังว่า “A Beautiful Mind” ! และผมเริ่มเข้าใจอีกหลายๆมุมว่า :
1- John Nash ได้รับรางวัลโนเบลเพราะเขาเป็นคนแรกที่เริ่มทำให้คนทั้งโลก ( ในยุคสงครามเย็น ) เริ่ม มอง “ ภาพรวม ” แทนที่จะมุ่งประโยชน์สูงสุดที่ตนเองจะ “ ได้ ” แล้วคนอื่น “ เสีย ” หากเป็นแบบ “ ได้ ” ทั้งสองฝ่ายแล้ว ผลประโยชน์ระยะยาวจะ “ มากกว่า ” และ “ ยั่งยืน ” กว่า ! ( การเมืองของเรา ??!!)
 
2-“ เศรษฐศาสตร์ ” เป็นเรื่องของ WEALTH หากเราตีความในความหมายแคบว่า “WEALTH ของเรา ” เราก็จะมุ่งแต่ผลประโยชน์เฉพาะตนและใน “ ระยะสั้น ” แต่หากเราตีความในความหมายกว้างว่า “WEALTH ของกลุ่ม ”เราก็จะยินดีมากกว่าที่จะมองถึงWEALTHที่ “ ระยะยาว ” กว่า “ มั่นคง ” กว่า เพราะเราจะมอง “ คู่เจรจา ” เป็น “ หุ้นส่วน ต่างตอบแทน ” มากกว่า “ ฝ่ายตรงข้าม ”
 
3- ทฤษฎีเกม หรือ Game Theory หรือ คำสอนทางเศรษฐศาสตร์ ( หรือ แนวคิดการทำงาน QC ? ) ไม่ได้มีความสำคัญที่ “ ตัวอักษร ” ที่เขียนให้เราท่องจำ ให้เราเดินตาม ตรงกันข้าม สิ่งที่สำคัญกว่า “ ตัวอักษร ” คือ “ ความเข้าใจด้วยจิตวิญญาณ ” ว่าเรื่องนั้นๆมี “ เป้าหมายวัตถุ ประสงค์ ” เพื่อส่วนรวมมากกว่า และทำไปด้วย A beautiful Mind !! ทำไปให้ดีกว่าที่เขียน ก็ยังได้ !!
การนำ “ ตัวอักษร ” มาตีความเพื่อที่จะหาประโยชน์ใส่ตนสูงสุด ย่อมนำมาซึ่ง ความขัดแย้ง .......แต่หาก การนำ “ ความเข้าใจด้วยจิตวิญญาณว่าตนจะได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อคำนึงถึงส่วนรวมก่อนตนเอง” เป็นธง ในการอยู่ร่วมกันเท่านั้นจึงจะเป็นความสมบูรณ์สูงสุดของการ“ทำ ”……เพราะมันมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อ …. ตนเอง และ ส่วนรวม !!
 
4- การทำงานเป็นหมู่คณะ การประชุม จะมีประสิทธิภาพ จะประหยัดเวลามากขึ้น หากทุกฝ่ายมองผลประโยชน์ส่วนรวมก่อนนำเสนอข้อเสนอของตน จะทำให้ข้อเสนอของตนได้รับการยอมรับง่ายขึ้น ไม่ต้อง ต่อรองกันนานเกินเหตุ เพราะผู้ฟังที่เห็นข้อเสนอเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนเสียแม้เขา จะมีอีกวิธีที่แตกต่าง ก็ยอมที่จะไม่เล่นลีลาแย้งจนเกินเหตุในการที่จะเอาแต่ความคิดของตนเพื่อต้องการชนะ ดังนี้แล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันจะเกิดแน่นอน !
 
5- การที่ Princeton เสนอชื่อ John Nash พร้อมกับยืนยันต่อคณะกรรมการพิจารณาของ สถาบันโนเบลว่า “ การป่วยทางด้านจิตใจจะต้องไม่ลบล้างโอกาสที่จะได้รับรางวัลของ Nash ” ( หาก เป็นประเทศเรา จุดยืนเช่นนี้คงไม่เด่นชัดเช่นนี้ )การที่สังคมให้ที่ยืนแก่คนที่เคยล้มลงไปเป็นสิ่งที่สวยงาม !
 
 
และทั้งหมดนี้คือที่มาของคำว่า ---------- A Beautiful Mind !
 
 
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    พิชัย อรุณพัลลภ
 
Department of Quality Management