8 ทัศนคิตก้าวสู่ความสำเร็จในการทำงาน


  เคยตั้งคำถามกันบ้างไหมว่า ทำไมการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ ในองค์กรของบางคนดูช่างแสนง่ายดาย ในขณะที่บางคนกลับดูเป็นเรื่องยากเย็นชนิดหืดขึ้นคอ อาจเป็นไปได้ว่าเพราะคนทั้ง 2 กลุ่มนี้มีปัจจัยที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้แตกต่างกัน อาทิ มันสมอง พรสวรรค์ รวมถึงพลังกาย อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องดังกล่าว ซึ่งดูเหมือนจะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วย นั่นก็คือ “ ทัศนคติในการทำงาน ”

ิู่ 
  ดร.มาร์ติน เซลิกแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการมองโลกในแง่ดี ค้นพบว่าทัศนคติเป็นสิ่งที่สามารถทำนายความสำเร็จของคนทำงานได้ดีว่าไอคิว (Intelligence Quotient หรือความสามารถทางสติปัญญา) ระดับการศึกษาและปัจจัยที่เหลืออื่นๆ ทั้งยังพบด้วยว่าคนที่มีทัศนคติด้านบวกจะมีสุขภาพ ความสัมพันธ์ และการเติบโตในหน้าที่การงาน รวมถึงความสามารถในการหาเงินดีกว่าคนที่มีทัศนคติในระดับปานกลางลงไปจนถึงค่อนข้างแย่


  ทั้งนี้ ในความเป็นจริงทุกคนสามารถพัฒนาทัศนคติไปในทางบวกได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมาจากที่ไหน หรือมีพรสวรรค์ภายในอย่างไร ไม่เพียงเท่านั้นการมีทัศนคติที่ถูกต้องในการทำงานยังช่วยให้สามารถแบ่งแยกความเหมาะสมในหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ด้วย HOW TO ฉบับนี้จึงขอแนะนำทัศนคติสำหรับการทำงานให้สำเร็จ 8 ประการเพื่อเป็นทางเลือกให้นำไปประยุกต์ใช้สำหรับพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อย่นระยะทางความสำเร็จให้ไม่ไกลจนเกินเอื้อมได้

1. กำหนดชะตากรรมในการทำงานด้วยตนเอง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สักแต่ทำงานไปวันๆ แต่กลับให้ความสำคัญกับการเฝ้ารอสิ่งดีๆที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากงานที่ทำ เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะต้องรอไปอีกเนิ่นนาน เพราะผลงานที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่การเสี่ยงดวงจากการซื้อลอตเตอรี่ ทั้งยังโปรดทราบด้วยว่า นักสร้างความสำเร็จมืออาชีพส่วนใหญ่เลือกจะก้าวออกไป และทำสิ่งดีๆให้เกิดด้วยตัวเองมากกว่ามัวแต่นั่งคอยวาสนาวิ่งเข้าหา ดังนั้นคุณควรจะปรับทัศนคติในเรื่องนี้ใหม่ โดยพึงตระหนักไว้เสมอว่าไม่มีใครจะสามารถกำหนดชะตากรรมในการทำงานของคุณได้เท่าตัวคุณเอง โดยลองเปลี่ยนมาเป็นผู้คิดริเริ่มและสร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่าง แล้วทำมันให้เป็นจริงขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง เคล็ดลับในการเป็นผู้กำหนดชะตากรรมในการทำงานด้วยตัวเอง คือ ให้พูดคุยถึงหน้าที่รับผิดชอบและเป้าหมายในการทำงานของคุณให้คนอื่นฟังบ้าง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นภายในให้เกิดความพยายามทำสิ่งที่พูดออกไปให้กลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะมิฉะนั้นคุณอาจจะโดนข้อหากลายเป็นคนขี้คุยได้เช่นกัน

  2. ทุกสิ่งเป็นจริงได้ เคยคิดกันบ้างไหมว่าสักวันหนึ่งคุณจะมีโอกาสก้าวขึ้นไปรับหน้าที่การงานในตำแหน่งระดับรองประธานบริษัท หากคุณคิดว่าคุณไม่มีความสามารถจะทำเช่นนั้นได้ คำตอบก็คือ มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณจะไม่ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งระดับรองประธานบริษัท แต่หากคุณปรับทัศนคติใหม่ว่าฉันต้องทำได้ ถึงแม้ในช่วงแรกมันอาจจะยังคงเป็นความฝันแต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าในที่สุดความฝันนั้นอาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ตรงกันข้าม หากคุณไม่กล้าฝัน ความหวังของคุณเป็นศูนย์ตั้งแต่วันนี้ทันที !


  3.ให้ความสำคัญกับงานทุกประเภท คุณจะไม่มีทางทราบเลยว่าเมื่อไรที่คุณกำลังถูกจับตาจากบุคคลระดับหัวหน้า เพราะฉะนั้นคุณจึงควรให้ความสำคัญกับงานทุกประเภทประดุจว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถชี้ขาดความอยู่รอดของคุณได้ ไม่ว่าสิ่งที่คุณกำลังรับผิดชอบอยู่นั้นจะเป็นงานยักษ์หรือเล็กกระจ้อยร่อย อย่างไร ดังจะยกตัวอย่างจากเจ้าของตำแหน่งประชาสัมพันธ์ระดับบริหารชิคาโกรายหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงงานชิ้นแรกของเธอว่า เป็นงานประชาสัมพันธ์ในบริษัทเกี่ยวกับการแสดงบัลเลต์แห่งหนึ่ง ที่กำลังมีการจัดระเบียบภายในองค์กรใหม่ ซึ่งเธอต้องทำหน้าที่รับมือกับโปรเจ็กค์นี้ อย่างสนุกสนาน ทั้งๆที่เป็นงานสุดแสนจะน่าเบื่อและสิ้นเปลื้องพลังกายเป็นอย่างมาก


  4.ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งจำเป็น ความขัดแย้งในสถานที่ทำงานย่อมเกิดขึ้นได้เสมอซึ่งหากคุณตกอยู่ในภาวะที่ชวนให้แสดงท่าทีก้าวร้าวต่อเพื่อนร่วมงาน จงสลัดการกระทำนั้นทิ้งไปและคงเหลือไว้แต่ความรู้สึกดีๆที่มีต่อสิ่งรอบตัว มิเช่นนั้นความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นเพียงชั่ววูบอาจจะส่งผลกระทบอันหนักหนาสาหัสแก่คุณได้ในภายหลัง โดยการสานสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่จำเป็นจะต้องตั้งใจทำด้วยความใจจดใจจ่อ เพียงแค่ไม่ละเลยหน้าที่อันพึงกระทำซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเดือนร้อนต่อผู้อื่นเท่านั้นก็พอ อาทิ การเข้าประชุมให้ตรงเวลาที่กำหนดไว้ เป็นต้น

นอกจากนี้ นักทำงานที่ประสบความสำเร็จจะเข้าใจความสำคัญของการสร้างเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกออฟฟิศเป็นอย่างดี คุณจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การสานความสัมพันธ์ให้เป็นที่ยอมรับกับคนอื่นๆ เช่น ชวนเพื่อนร่วมงานออกไปทานข้าวด้วยกัน ในเวลาช่วงเลิกงานสำหรับการสังสรรค์ร่วมกัน

  5.คุณถูกกำหนดให้ต้องทำงานนี้ หากคุณใช้เวลาไปกับความรู้สึกที่ว่าคุณไม่เหมาะสมกับงานที่ทำอยู่ ผลของงานที่ออกมาก็จะแย่ไปตามความรู้สึกนั้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่งานของแต่ละคนอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่คนที่จะประสบความสำเร็จในงานได้จะต้องให้ใจกับงานประดุจว่าเขากำลังทำงานในฝันอยู่ ไม่ว่าในความจริงงานในฝันอันนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

  6.อาสาทำงานนอกเหนือหน้าที่บ้าง ตั้งแต่คุณกลายมาเป็นผู้กำหนดโชคชะตาในการทำงานของคุณเอง มันเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องมองหาลู่ทางในการปรับปรุงความเป็นมืออาชีพในตัวคุณด้วยการรับอาสาที่จะขอทำงานในส่วนที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบ เพื่อการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ สำหรับขยายโอกาสการทำงานของคุณให้กว้างไกลยิ่งขึ้น และระลึกไว้เสมอว่านักทำงานที่ประสบความสำเร็จจะไม่หยุดเพียงแค่การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้นเท่านั้น แต่เขาเลือกที่จะหาหนทางเพิ่มเติมเพื่อสร้างมาตรฐานให้แก่ตัวเอง

  7.ความล้มเหลวเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ แม้ดูเหมือนคนบางคนจะไม่เคยมีประสบการณ์ในความล้มเหลวทั้งที่ในความจริงมีคนหลายคนที่ประสบความล้มเหลวอยู่เกือบตลอดเวลา ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จกับผู้ที่ล้มเหลวคือวิธีการรับมือกับความลัมเหลวที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดและใช้มันมาเป็นบทเรียน สำหรับกำจัดความผิดเหล่านั้นออกไปในที่สุด ในขณะที่ลักษณะสำคัญของผู้ล้มเหลวคือผู้ที่ไม่ยอมรับกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทั้งยังละเลยที่จะแก้ไขให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าด้วย

  8.ไม่เคยปิดโอกาสในการตรวจสอบตัวเอง สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้คือนักทำงานที่ประสบความสำเร็จได้จะต้องมองหาโอกาสในการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ โดยไม่ลืมที่จะเปิดหู เปิดตา และเปิดใจกับสิ่งที่จะนำคุณไปสู่โอกาสใหม่ๆ แต่ต้องไม่ลืมที่จะหันกลับไปตรวจสอบทางเดินของตัวเองว่าที่แล้วมาคุณได้หลงทางไปบ้างหรือไม่ เพื่อนำสิ่งต่างๆที่เคยพลาดไปมาปรับปรุงให้ก้าวหน้าต่อไปของคุณจะไปถึงจุดหมายได้อย่างราบรื่น เพราะคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไรที่คุณจะพบกับใครคนหนึ่งที่จะเป็นสาเหตุในการเปลี่ยนแปลงผลของงานที่กำลังทำอยู่

  นอกเหนือจากปัจจัยอย่างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในหน้าที่ที่รับผิดชอบ ความสมบูรณ์ทั้งกายและใจแล้ว เพียงแค่คุณเลือกนำทัศนคติบางประการข้างต้นไปประยุกต์ใช้กับงานในอาชีพก็เท่ากับคุณได้ก้าวสู่การเป็นนักทำงานที่สามารถประสบความสำเร็จได้แล้ว

  ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันที่ 6 ก.พ.49 ข้อมูลอ้างอิง www.careerbuilder.com