เครื่องมือการจัดการที่มีผลต่อความอยู่รอดขององค์กร
 
   
ตอนที่ 5 : Six Sigma (ต่อจากตอนที่แล้ว)
 
เมื่อเรารู้แล้วว่า Six Sigma มีเป้าหมายที่ Teamwork และ Learning โดยมีเป้าหมายเป็นขนมล่อ เราคงหายกลัวกันแล้ว เพราะลึกๆแล้วทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่า “หากองค์กรกำลังมี—ความเสี่ยงต่อความอยู่รอดในระยะยาวแล้วละก็ ทุกคนต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหา” ....
ที่สำคัญคือ ....เครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้ต่างหาก ที่มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ว่าใช้แล้วจะไม่เหนื่อยฟรี !!!!

 
Six Sigma ทำงานอย่างไร ?
Six Sigma มีขั้นตอนในการทำงาน 5 ขั้นตอนดังนี้ :
1-Define – คือการระบุปัญหาที่กำลังเกิดได้อย่างชัดเจน เช่น ปัญหาคุณภาพบ้านที่ลูกค้าแจ้ง
2-Measure – คือการวัดความรุนแรงของปัญหาที่เกิด เช่น จำนวนบ้านที่ไม่มีคุณภาพ จำนวนปัญหาที่เกิดกับบ้านเช่น การร้าวมีมากเท่าใด การรั่วของประปา การเกิดไฟฟ้าช็อตเป็นต้น
3-Analyze – คือการวิเคราะห์ตัวเลขว่าแต่ละปัญหาที่เกิดมีอะไรเป็นส่วนใหญ่ กี่เปอร์เซ็นต์ มีสาเหตุมาจากอะไร จนถึงการวางแนวทางในการแก้ปัญหานั้นๆ
4-Improve – คือการพัฒนาวิธีการทำงานจริงเพื่อขจัดปัญหา เช่นการกำหนดขั้นตอนการทำงานใหม่ๆที่ถูกต้อง
5-Control – คือการวางระบบควบคุมให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
 
โครงสร้างมาตรฐานในการทำโครงการ Six Sigma จะประกอบด้วยทีมงานที่ชัดเจนที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องดังนี้ :
 
1-Executive -คือผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรที่มีความต้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและให้การสนับสนุนขบวนการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง
2-Champion –คือผู้บริหารระดับสูงที่ :
เข้าใจกระบวนการ Six Sigma อย่างดี
สามารถกำหนดหัวข้อที่จะทำโครงการเพื่อแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น
ให้การสนับสนุน Black Belt และ Green Belt ในการทำงานอย่างราบรื่น
ติดตามผลงานอย่างใกล้ชิดจนจบบรรลุเป้าหมาย
3-Master Black Belt –คือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาจาก Black Belt ที่มี
ประสบการณ์ในการทำ Six Sigma ที่ :
ดูแลและสนับสนุน ให้คำปรึกษาแก่ Black Belt
ถ่ายทอดความรู้ อบรม Black Belt ใหม่ๆขึ้นมา
4-Black Belt –คือหัวหน้าโครงการซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากพนักงานดีเด่น ที่:
เข้าใจขบวนการทำ Six Sigma
มีความคิดสร้างสรรค์
มีความสามารถในการวางระบบวัดและวิเคราะห์สถิติ
สามารถวางขั้นตอนปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับการแก้ปัญหา
ให้การสนับสนุนการทำงานของ Green Belt ให้บรรลุเป้าหมาย
5-Green Belt –คือผู้ช่วยของ Black Belt ที่ผ่านการอบรม Six Sigma ที่ร่วมรับผิดชอบโครงการ สามารถเก็บข้อมูลได้ถูกต้องตามที่ Black Belt กำหนด
 
6-Employee –คือพนักงานทุกคนที่เข้าใจปัญหาและให้ความร่วมมือกับทีมงาน Six
Sigma ในการปรับปรุงงานของตนและช่วยเก็บข้อมูลที่กำหนด
   
หากเราจะเปรียบ Six Sigma กับสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วคือ P-D-C-A เราจะเห็นว่า Six Sigma ก็คือ รูปแบบหนึ่งของการทำ P-D-C-A ที่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนพร้อมกับมีคุณสมบัติที่ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรตามเจ้าสำนักหลักสูตรทุกอย่าง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อบริษัทใดซื้อหลักสูตรแล้ว ขั้นตอนของการทำ Six Sigma จะต้องประกอบไปด้วยขั้นตอนเหล่านี้ :
1-การอบรมแนวคิด Six Sigma แก่ Executive , Master Black Belt ,
Black Belt , Green Belt และพนักงานทุกคน
2-การอบรม Key Man ของทีมงานตั้งแต่ Master Black Belt ลงมาในเรื่อง
ศักยภาพในการทำหน้าที่ในตำแหน่งของตน เช่น :
Master Black Belt : การวางแผน , จิตวิทยาการบริหารบุคคล , การให้กำลังใจ
การบริหารความขัดแย้ง , สถิติ , การสร้างทีม , การสร้างวิทยากร
Black Belt : จิตวิทยาการบริหารบุคคล , การให้กำลังใจ , การเก็บข้อมูลและสถิติ
Green Belt : การเก็บข้อมูลและสถิติ และการทำรายงาน
 
การสัมฤทธิ์ผลของการทำ Six Sigma
แรงผลักดันให้ทำ Six Sigma มี 3 ข้อ :
1-เพื่อตอบสนองการคาดหวังของลูกค้า เหมือนกับที่ลูกค้ามักจะให้ความเชื่อถือบริษัทที่มี ISO บริษัทไหนไม่ได้ทำก็อาจจะกลัวว่าลูกค้ามองว่าไม่เป็นมืออาชีพ
2-เพื่อให้ In trend และไม่ล้าหลังคู่แข่งที่มีการทำ Six Sigma

3-เพื่อพัฒนาขบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
แนวคิด 2 ข้อแรก ผู้บริหารมักจะมองว่าการทำ Six Sigma เป็น Cost และลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย บ่อยครั้งค่าใช้จ่ายนี้จะถูกบวกเข้าไปในต้นทุนสินค้าและผลักภาระไปให้ลูกค้า
ในขณะที่แนวคิดที่ 3 เป็นแนวคิดที่สมเหตุสมผลที่สุด เพราะมันอยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่า การพัฒนาขบวนการทำงานโดยการเน้นความร่วมมือและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องนี้เป็นการ “สะสมทรัพย์สิน(Asset)” เป็นการ “ลดต้นทุน” เหมือนกับการทำ QC ซึ่งเป็นสิ่งที่ Make sense ที่สุดสำหรับผู้บริหารที่หวังผลความยั่งยืน !
แล้วแนวคิด 1, 2 , หรือ 3 นี้ เกี่ยวอะไรกับ “การสัมฤทธิ์ผล” ?
Minimum Effort Means Minimum Results !
แนวคิดที่หวังแค่ไหน –ผลที่จะได้ก็ ....จะได้แค่นั้น !

แน่นอน ความทุ่มเทในการทำ Six Sigma ที่มองเป้าหมายแค่ข้อ 1 เราก็จะได้แค่ “รูปแบบ” ที่เป็น “เปลือกนอก” ที่จะโชว์ลูกค้าว่า “บริษัทของเรามีการทำ Six Sigma”
ความทุ่มเทจากแนวคิดที่ 2 ก็คงได้ผลไม่ต่างจากข้อ 1 นัก
ผลคือ—ผู้บริหารจะไม่ใส่ใจใน “ความเป็นไป” ในระหว่างทำ Six Sigma เพราะเป้าหมายคือ—เพียงขอให้ได้ชื่อว่า –ได้ทำ
ความทุ่มเทของ Master Black Belt , Black Belt , Green Belt และพนักงานทั้งหมดก็จะมีเพียงระดับ “แค่นๆ”
แต่หากผู้บริหารยึดแนวคิดที่ 3 เป็นธงหลักแล้วละก็ ความทุ่มเทของตนเอง ของคนทุกระดับก็จะต้องเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ....และสิ่งที่องค์กรจะได้ก็คือ “ประสิทธิภาพที่พัฒนาขึ้นๆเรื่อยๆ”ซึ่ง “เป็นคุณ” กับองค์กรมหาศาลจน “เปลือก” จากแนวคิด 1 , 2 เทียบกันไม่ติด !!!!

 
สรุป Six Sigma :
1-มีการกำหนดเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจน
2-มีการมอบหมายผู้รับผิดชอบที่มีศักยภาพที่ชัดเจน
(เปรียบเทียบ BSC vs. Six Sigma)
หากมองวิธีคิดของฝรั่งจากเครื่องมือทั้ง BSC และ Six Sigma แล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า:

1-เขามีความใฝ่รู้ อยากพัฒนามากกว่าเรา
2-เขามีความคิดเป็นระบบมากกว่าเรา
3-เขาอยากส่งเสริมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้สิ่งที่เขาค้นพบด้วยการเผยแพร่แนวคิดอย่างกว้างขวาง
แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจาก “ความต้องการขายหลักสูตร” จากสิ่งที่เขาคิด แต่หากสังคมไม่เห็น
คุณค่าเสียแล้ว คนคิดก็อยู่ไม่ได้ เพราะการคิดแต่ละอย่างต้องใช้เวลา ต้องมีค่าใช้จ่าย หาก
สังคมไม่ตอบรับอนาคตก็จะไม่มีคนคิดสิ่งใหม่ๆแน่นอน ผลคือสังคมไม่มีความรู้ใหม่เกิดขึ้น –
เหมือนสังคมของเรา ...ที่ไม่ส่งเสริมคนกล้าคิดสิ่งใหม่ๆ...บ่อยครั้งกลับหมั่นไส้คนที่กล้าแสดงออกด้วยซ้ำ !
บัดนี้ ....สิ่งที่ผมเคยสงสัยเมื่อ พศ. 2519 ว่าทำไมชาติตะวันตกจึงเจริญกว่าเรา และผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้รุ่นลูกของผมมีชีวิตดีกว่าผม ผมจะต้องทำอะไรบ้าง ....
 
 
“การพัฒนาผ่านการศึกษา คือคำตอบของทุกสิ่ง !!!!”
จบเรื่องเครื่องมือการจัดการที่มีผลต่อความอยู่รอดขององค์กร
 
 
พิชัย อรุณพัลลภ
Department of Quality Management