THE  NAPOLEAN  HILL’S  LAWS  OF  SUCCESS
 
Dr. Napolean Hill
 
ตอนที่ 7 : ความคิดริเริ่มและความเป็นผู้นำ (ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
 
Dr.Hill เชื่อว่า—ไม่ว่าขณะนี้เรากำลังทำอาชีพอะไรอยู่ก็ตาม  ในแต่ละวันจะต้องประกอบไปด้วยกิจกรรม 2 ส่วน ดังนี้ :
1-สิ่งที่เราจะต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้างาน และ
2-สิ่งที่เราสามารถทำให้ดีกว่าที่ถูกสั่ง
ข้อที่ 1 เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายเพราะชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
ข้อที่ 2 ต่างหากที่ตรงกับหัวข้อ “ความคิดริเริ่มและความเป็นผู้นำ” ที่คุ้มค่าที่จะถกให้ลึกซึ้ง
เพราะว่ามันเป็นส่วนที่เราจะ ....ทำ ....หรือ ....ไม่ทำ  ก็ไม่มีใครอื่นรู้  นอกจากตัวเราเอง !
เพราะว่ามันเป็นอภิสิทธิ์ส่วนตนที่เราได้รับจากพระเจ้าที่จะทำให้รูปแบบของงานที่เราทำในข้อที่ 1 ดีขึ้นกว่าเดิม  เร็วขึ้นกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งมีต้นทุนน้อยลงกว่าเดิม  ที่สำคัญที่สุด ใครที่มีคุณสมบัติแบบนี้  มักจะมีความสุขในการทำงาน  ซึ่งเป็น  “ของขวัญ” จากสวรรค์เพิ่มเติมมากกว่าคนที่ทำงานเพียงเพราะเพื่อ “เงินเดือน” ที่อยู่ในซองตอนสิ้นเดือน !!!!
ไม่มีเงินก้อนใดที่จะสามารถแลกกับความสุข  สนุกสนาน และความภาคภูมิใจที่คุณเป็นคนที่—ถูพื้นได้ดีกว่าเดิม—ทำอาหารได้อร่อยกว่าเดิม—ขุดหลุมได้ดีกว่าเดิม—สร้างบ้านได้ดีกว่าเดิม  สำหรับคนธรรมดาๆคนหนึ่งอย่างเราการได้ทำอะไรที่ดีกว่าการทำไปแบบพื้นๆ—แบบขอไปทีอย่างที่คนอื่นๆมักทำกันนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่วิเศษสุดที่ให้ความสุข  ให้ความภูมิใจที่เงินซื้อไม่ได้  และบอกตนเองได้อย่างมั่นใจว่า—“ฉันไม่ใช่คนธรรมดานะ  !!”  
ใช่ไหม ?!!
 
Dr. Hill เล่าถึงพนักงานคนหนึ่งที่เขาจ้างมาให้ช่วยงานธุรการในบริษัทเช่นเปิดซองจดหมาย ส่งเอกสารต่างๆ และบางครั้งบางคราวก็ช่วยจดรายงานประชุมเวลาที่เลขาของ Dr.Hill ขาดงาน  มีอยู่วันหนึ่ง Dr. Hill ได้ให้เธอช่วยพิมพ์คติพจน์เพื่อที่จะใช้ในการประชุมซึ่งมีข้อความว่า---“จงจำไว้ว่า  ไม่ว่าคุณจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม  ภาพของคุณจะดีหรือเป็นอย่างไรก็ขึ้นกับคุณภาพของผลงานที่คุณตั้งใจใส่เข้าไป” (คุณเลือกเอาเองก็แล้วกันว่า—คุณจะทำแบบลวกๆพอให้เสร็จไปเท่าที่ได้รับคำสั่ง  หรือคุณจะใส่ “ความคิดริเริ่ม” ที่คุณพยายามเข้าใจเป้าหมายของงานนั้นและทำให้มัน “ดีกว่าที่ถูกสั่ง”)
ในขณะที่เธอยื่นกระดาษที่พิมพ์ข้อความนั้นเสร็จแล้วมาให้ Dr. Hill เธอพูดขึ้นว่า “คติพจน์ของคุณได้ให้ความคิดใหม่ที่ดีมากแก่ฉัน  มันจะให้คุณค่าที่ดีต่อฉันเองและต่อคุณ ! ”
 
Dr.Hill ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรกับสิ่งที่เธอพูด  แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา  เขาสังเกตได้ว่า “คติพจน์นั้น” ได้สร้างปรากฏการณ์อย่างใหญ่หลวงต่อจิตใจของเธอ  เธอมาทำงานแต่เช้ากว่าเดิมโดยที่เขาไม่ได้คาดหมายให้เธอทำ  เธอศึกษาวิธีสรุปรายงานประชุมของเขาในแบบที่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการ  จนบ่อยครั้งที่เธอกลับสรุปรายงานประชุมได้ดีกว่า Dr.Hill ทำเองเสียด้วยซ้ำ ! และเธอยึดถือวิธีทำงานเช่นนี้เป็นประจำจนเป็นนิสัย !
เธอได้ใส่ “ความคิดริเริ่ม” ของเธอเข้าไปในงาน !
 
พอเลขาของ Dr.Hill ลาออกไป  เมื่อเขาเริ่มมองหาคนที่จะมาทำงานแทน  เป็นธรรมดาอยู่เองที่เขามองไปที่ “เธอคนนั้น” เป็นคนแรก  และในความเป็นจริง Dr.Hill สารภาพว่า—งานนี้เป็นของเธอ  งานนี้รอเธออยู่มานานแล้วเสียอีก ! เธอได้คว้างานนี้ไว้ด้วย “ความคิดริเริ่ม” ของเธอโดยแท้
เรื่องยังไม่จบอยู่แค่นี้  ผู้หญิงคนนี้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่องานของ Dr.Hill มากถึงขนาดที่เป็นที่สังเกตของคนอื่น  ซึ่งสามารถเสนอตำแหน่งที่พึงปรารถนาแก่เธอได้
 
Dr. Hill ต้องขึ้นเงินเดือนให้เธอหลายครั้งเพื่อรักษาเธอไว้  จนเงินเดือนของเธอเป็น 4 เท่าของตอนที่เธอเป็นพนักงานธุรการธรรมดาๆ ! Dr.Hill สารภาพตรงๆว่า—เธอคนนั้นได้ทำตัวให้มีคุณค่าอย่างยิ่งต่องาน  ถึงขนาดที่งานไม่อาจดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นหากไม่มีเธอเพียงคนเดียว !
 
นั่นเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนมากของการมี “ความคิดริเริ่ม” ที่กระทัดรัดและเข้าใจได้  แต่สิ่งที่ Dr. Hill อยากย้ำมากกว่าคือ—มันจะเป็นความผิดพลาดอย่างมากหากเขาไม่ได้กล่าวถึงเลยก็คือ ....สิ่งที่เธอผู้นั้นได้รับไม่ใช่แค่เงินเดือนที่มากขึ้นเท่านั้น  เธอยังมี “ความสุข” ในการทำงาน “ความคิดริเริ่ม” ทำให้เธอยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาที่ทำงานที่พนักงานคนอื่นๆไม่มี !
และเป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อมี “ความคิดริเริ่ม” แล้วเห็นประโยชน์ที่ได้จากมันแล้ว “ความมั่นใจ”ก็จะตามมาจนกระทั่งทำให้เกิดความสำเร็จใหม่ๆมากมายกว่าผู้อื่นจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างานของเราอยู่ในลักษณะของ “ความเป็นผู้นำ” ที่คนอื่นต้องทำตาม (แม้จะมีคนแอบอิจฉาริษยาก็ตาม ----เราอยู่ในโลกของการเปรียบเทียบแข่งขันกัน  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  หากสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งใหม่และเป็นคุณต่อส่วนรวมจริง  ไม่มีเหตุผลใดที่องค์กรจะไม่เดินตาม  เพราะองค์กรอยู่เพื่อการพัฒนา  หรืออยู่ได้เพราะมีการพัฒนา –มิฉนั้นก็ต้องตาย—ดังนั้นแม้จะมีคนอิจฉา องค์กรก็ต้องเดินตามจนกระทั่งมีใครสักคนที่มี “ความคิดริเริ่ม” ใหม่ๆกว่าเดิมที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร  องค์กรก็ต้องเดินตาม “ความคิดริเริ่ม” ใหม่นั้นอย่างเลี่ยงไม่พ้น ! นี่เป็นกุศโลบายของการพัฒนา ฉะนั้น  จงสร้างบรรยากาศของ  “ความคิดริเริ่ม” ในองค์กรให้ได้  แล้วส่วนรวมจะได้ประโยชน์
ประการที่สองของการสร้าง “ความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ”
วิธีที่สองของ Dr. Hill จะเป็นเชิงจิตวิทยาในแง่ที่ว่า—วิธีที่ดีที่สุดของการสร้างความเชื่อให้แก่ตนคือการช่วยสร้างความเชื่อนั้นๆให้แก่คนอื่นๆ
เหมือนการเตรียมตัวสอบที่ดีที่สุดคือการอ่านเพื่อที่จะให้ถึงขั้นที่จะติวให้คนอื่นให้เข้าใจนั่นเอง !
เหมือนเซลส์แมนขายสินค้า  เขาเองต้องมั่นใจในสินค้านั้นๆก่อนจึงจะสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้ ! คุณอาจทำการทดลองเรื่อง  “ความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ” โดยการเลือกคนใกล้ตัวที่เป็นคนที่จะไม่ทำอะไรเลยถ้าไม่ถูก “สั่ง”
เริ่มจากการที่คุณแนะนำเรื่อง  “ความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ” แก่เขา และลองพูดเรื่องนี้ในหลายๆโอกาสแก่เขาอย่างมีไหวพริบเพื่อไม่ให้เขาเบื่อ  คุณจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาทีละน้อยๆ ....
 
และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่คุณจะได้เห็นก็คือ ....ความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นกับคุณ !!!!
คุณจะพบอย่างชัดเจนว่า ....ในขณะที่คุณพยายามช่วยเขาสร้าง “ความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ” อยู่นั้น  คุณเองกลับมี “ความคิดริเริ่มและการเป็นผู้นำ” มากขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ !!!!

ที่น่าประหลาดคือ—ในขณะที่คุณกำลังสร้าง ....คุณก็ ....กำลัง “นำ” ไปพร้อมๆกัน !!!!

แล้วผู้นำควรมีลักษณะอย่างไรละ ?
 
Dr.Hill จะเฉลยตอนหน้าครับ