ตอนที่ 16
 
อุปนิสัยที่ 6 : ผนึกพลัง....ประสานความต่าง
 
การผนึกพลังประสานความต่างเป็นหัวใจของผู้นำองค์กรที่มีศูนย์กลางชีวิตที่หลักการ
ใช้ได้แม้กับครอบครัวที่พ่อแม่มีศูนย์กลางชีวิตที่หลักการ  มันเป็นตัวเร่งที่ปลดปล่อยพลังมหาศาลของสมาชิกทุกคนออกมาสุดๆเพื่อหลอมรวมกันเป็นผลประโยชน์ร่วมของส่วนรวม !
การผนึกพลังประสานความต่างมีให้เห็นทั่วไปในธรรมชาติ  ถ้าคุณปลูกต้นไม้สองต้นไว้ใกล้กัน  รากของมันจะประสานกัน  ช่วยยึดกันและกัน  สามารถต้านลมพายุได้ดีกว่าต้นที่ปลูก
เดี่ยวๆ ! หรือความแตกต่างของชายและหญิงทางกายภาพ  ทางจิตใจ ที่ทำให้สร้างสรรค์ชีวิตในรูปแบบที่น่าตื่นเต้น  หรือสร้างสรรค์ผลงานในองค์กร เมื่อความแข็งกร้าวของฝ่ายหนึ่งผสานกับความอ่อนโยนของอีกฝ่ายหนึ่งก่อให้เกิดเป็นความปรองดอง  เกิดการเติมเต็มสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดไปให้ครบสมบูรณ์  เกิดความสัมพันธ์ที่กลมกลืนและเอื้อต่อความเติบโตโดยไม่แตกหักโดยใช่เหตุหรือไร้ประสิทธิผลในกรณีที่มีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น !
 
 
การผนึกพลังประสานความต่างทำให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน  บรรยากาศความร่วมมือจะดีขึ้นเนื่องจากความคิดเรื่องการป้องกันตนเองน้อยลง  มีความเชื่อใจระหว่างกันมากขึ้น  ขัดแย้งกันน้อยลง  เอาใจใส่ผู้อื่นมากขึ้น  อวดความเหนือกว่าน้อยลง  ตำหนิคนอื่นน้อยลง  และ….เล่นการเมืองน้อยลง !!!
การผนึกพลังประสานความต่างต้องการความใจกว้าง  ไม่มีความโอหังในใจ  และมีจิตใจที่ชอบความท้าทายที่มาจากความคิดสร้างสรรค์เพราะส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ค่อยได้ (ก็เพราะชื่อมันบอกอยู่ชัดๆแล้วว่า “ความคิดสร้างสรรค์”มันจึงเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน !)มันมักจะเป็นสิ่งที่ไม่มีความชัดเจน  มันเป็นการลองผิดลองถูก  หากเราไม่อดทนต่อการที่จะต้อง
 
 
 
“ฟัง-เพื่อเข้าใจผู้อื่นก่อนที่จะให้เขาเข้าใจเรา”แล้ว  โอกาสที่เราจะเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศสร้างสรรค์เสียเองก็จะสูงขึ้นจนบ่อยครั้งเราจะพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่กลัวบรรยากาศความคิดสร้างสรรคนั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้วิธี “ประสานพลังความต่าง”มากกว่า  ไม่ใช่จุดอ่อนของบรรยากาศสร้างสรรค์ !!!
   
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาได้ให้เดวิด ไลเลียนทัล เป็นหัวหน้าคนใหม่ของคณะทำงานด้านพลังงานอะตอมมิก  เดวิดได้รวบรวมกลุ่มบุคคลซึ่งมีอำนาจ  ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาทำงานด้วยกัน
   
กลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันจากหลายสาขานี้ต้องทำงานภายใต้กำหนดการกรอบเวลาที่อัดแน่น  พวกเขาถูกกดดันจากรัฐบาลและสื่อมวลชนจนพวกเขาเริ่มหมดความอดทน แต่เดวิดใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการสร้างบัญชีออมใจระหว่างคนในกลุ่มให้สูงขึ้น  เขาให้แต่ละคนทำความรู้จักซึ่งกันและกัน  รู้ว่าใครสนใจหรือชอบเรื่องอะไร  มีความหวังในชีวิตอย่างไร  มีความกังวลในเรื่องอะไร  ใครมีพื้นฐานครอบครัวอย่างไร  มีมุมมองต่องานที่ทำอย่างไร  เขาพยายามทุกอย่างที่จะทำให้ทุกคนมีความผูกพันกัน
   
การทำเช่นนี้ทำให้เดวิดถูกตำหนิเป็นอย่างมาก  เพราะดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่ “ไร้สาระและไม่มีประสิทธิภาพ” !!
   
แต่ปรากฏว่าคนกลุ่มนี้กลับเข้ากันได้ดี  กล้าเปิดเผยความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพราะพวกเขามีความไว้วางใจจากการรู้จักกันอย่างดีว่าใครเป็นอย่างไร และรู้ว่าทุกคนมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือทำให้งานบรรลุผลสำเร็จ  พวกเขาจึงมีความคิดสร้างสรรค์มากและประสานความคิดกันได้อย่างดี  พวกเขาเคารพความเห็นกันและกันจนขนาดที่ว่าถ้าเกิดความเห็นไม่ตรงกัน  แทนที่จะโต้เถียงกันด้วยอารมณ์ร้อน  พวกเขากลับตั้งใจฟังเพื่อเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง !
   
พวกเขามีทัศนคติที่ว่า “ถ้าคนที่มีสติปัญญา  มีความสามารถ  มีความมุ่งมั่นนั้นมีความเห็นไม่ตรงกับผม  แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจ  และผมต้องการทำความเข้าใจมันให้ได้”
   
ผลคือ-ไม่มีการกลัวการเสียหน้า  ไม่มีการปกป้องตนเอง  ไม่มีลีลาเพื่อที่ตนเองต้องเป็นผู้ชนะอยู่เสมอ  และแล้วในที่สุด….วัฒนธรรมที่หาได้ยากยิ่งก็เกิดขึ้นในกลุ่มทำงาน  พร้อมกับงานที่สำเร็จตามเป้าหมาย !
   
 
 
 
COVEY ได้ชี้ให้เราได้เห็นถึงผลประโยชน์ที่แตกต่างมหาศาลระหว่างการมีและการไม่มีการผนึกพลังประสานความแตกต่าง  การเห็นอย่างเดียวคงไม่เกิดประโยชน์หากไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ  งั้นคราวหน้าเราไปติดตามกันนะครับ !