ตอนที่ 15 |
อุปนิสัยที่ 5 : เข้าใจผู้อื่นก่อน....แล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา |
COVEY บอกว่าคนมากมายส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเรียนรู้วิธีการอ่าน การเขียน และการพูด แต่มีน้อยมากที่ได้ผ่านการอบรม การฟัง |
![]() |
|
หลายคนได้อบรมฝึกฝนเรื่องบุคลิกภาพ | |
เพื่อให้สามารถเข้าสังคม แต่เขากลับลืมไปว่าการเข้าสังคมเพื่อสร้างสัมพันธ์ภาพที่แท้จริงนั้นต้องการทักษะในการเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง ! ไม่ใช่บุคคลิกเท่านั้น ถ้าคุณใช้เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพกับคนๆหนึ่ง | |
หากเขารู้ว่าคุณกำลังใช้เทคนิคกับเขาอยู่ เขาอาจจะรู้สึกว่าคุณกำลังหลอกเขาอยู่ และเขาจะไม่มีวันบอกให้คุณรู้ว่าเขาไม่ไว้ใจคุณ และแล้วความพยายามของคุณก็ต้องล้มเหลว ! |
ความสัมพันธ์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความยอมรับในพฤติกรรมที่เสมอต้นเสมอปลายของทั้งสองฝ่ายที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยด้วยระยะเวลาที่ยาวนานพอ ถ้าผมไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของผมให้คุณรู้ คุณจะชื่นชมผมได้อย่างไร คุณจะเข้าใจผมได้อย่างไร ไม่ว่าผมจะพูดอะไรที่ฟังดูดีต่อคุณ แต่หากปราศจากความไว้วางใจต่อกันแล้วมันย่อมเปล่าประโยชน์ ในขณะเดียวกัน หากผมได้พยายามแสดงตัวตนของผมออกไป แต่คุณเพียงแต่ ได้ยิน คุณไม่ได้ ฟังหรือไม่ได้ พยายามทำความเข้าใจ ตัวตนของผมอย่างที่ผมอยากจะสื่อ ความสัมพันธ์ที่คุณคิดต่อผมก็เป็นได้แค่ ผิวเผิน ซึ่งไม่สามารถก่อตัวเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้เลย ! |
การฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ (Empathic Listening) | ||
การเข้าใจผู้อื่นก่อน เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างมากคนส่วนมากมักจะฟังแบบผ่านๆ ไม่ได้พยายามเข้าใจคนที่พูดด้วยเท่าไหร่เขาฟังเพื่อที่จะรอจังหวะโต้ตอบ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะให้ผู้พูดๆให้จบไวๆ เพื่อที่ตนจะได้พูดบ้าง และหากโชคร้ายที่ทั้งคู่เป็นผู้ฟังประเภทเดียวกัน เราคงพอจะเดาออกว่าผลของการเจรจา หรือผลของการประชุมจะจบลงด้วยการที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำต้องยอมแพ้ไปข้างหนึ่ง | ![]() |
|
และผลเจรจาที่เป็นแบบ แพ้ / ชนะ หรือไม่ก็แบบ แพ้ / แพ้ ! พร้อมกับเวลาที่ใช้มากกว่าที่ควรถึงสองเท่า ! ( เราเคยเห็นการประชุมที่มีแต่คนที่แย่งกันพูดโดยไม่มีใครฟังกันเลยหรือไม่ ? หรือเคยเห็นคน-ชอบพูด หรือไม่ ?) | ||
หากมีคนที่พูดแทรกตัดบทในขณะที่ผู้พูดยังพูดไม่จบ ผลก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ ! |
การฟังอย่างเข้าใจหมายถึง การฟังด้วยความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจผู้พูด โดยไม่มีความคิดแม้แต่น้อยที่จะหาจุดโต้แย้ง ไม่ได้ต้องการจะพูดเรื่องของตัวเอง ไม่ใช่การฟังที่ -ดูเหมือนกำลังฟังแต่ใจคิดถึงเรื่องอื่นๆ |
COVEY บอกว่าการฟังอย่างเข้าอกเข้าใจเป็นการฝากบัญชีออมใจที่ดีมากวิธีหนึ่ง ! |
แม้ว่าดูจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก COVEY ชี้ความสำคัญของการ ฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ ผ่านตัวอย่างเรื่องต่อไปนี้ : |
![]() |
วันเสาร์หนึ่งที่คนส่วนใหญ่กำลังใจจดใจจ่อกับการแข่งขันSUPER BOWL ในเมืองที่จะมีผู้ชมถึง 60,000 คน COVEY และ SANDRA ภรรยาก็อยากชมการแข่งขันเกมส์นี้มาก บังเอิญในวันนั้นลูกสาวของเขา JENNY เกิดไม่สบายอย่างหนักมีอาการอาเจียนและท้องร่วงอย่างแรง หมอคนเดียวที่จะติดต่อได้ของครอบครัวก็กำลังอยู่ในสนามฟุตบอล ภรรยาของ COVEY พยายามโทรศัพท์ไปที่สนามหลายครั้งกว่าจะติด และรออยู่นานกว่าที่หมอจะได้ยินประกาศให้หมอมารับสายได้ |
หมอคะ ดิฉันเป็นภรรยาคุณ COVEY ค่ะ JENNY ลูกสาวของเรากำลังป่วยหนัก | |
เขาเป็นอะไรหรือ หมอถาม | |
SANDRA อธิบายอาการป่วยของลูกสาว | |
ผมรู้แล้ว ผมจะโทรศัพท์สั่งยาให้ คุณไปรับยาที่ร้านตามที่ผมบอกก็แล้วกัน หมอตอบ | |
เมื่อวางโทรศัพท์ SANDRA รู้สึกไม่สบายใจเมื่อคิดว่าเธออาจจะเร่งรีบเกินไปจนอธิบายอาการไม่ครบ แต่เธอก็ปลอบใจว่าน่าจะเพียงพอแล้ว | |
COVEY ถามว่า คุณคิดว่าหมอจะรู้ไหมว่า JENNY เพิ่งมีอายุสองเดือน | |
ฉันคิดว่าเขารู้ SANDRA ตอบ | |
แล้วคุณจะให้ยา JENNY ทั้งๆที่ไม่แน่ใจหรือ COVEY ถามกลับ | |
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งทั้งคู่ตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่หมออีกครั้ง | |
หลังจากหมอทราบอายุของ JENNY แล้ว เขาก็พูดด้วยความเสียใจว่า ดีนะที่คุณโทรมาอีก ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ผมต้องเปลี่ยนยาให้ใหม่หมด | |
เราเริ่มเห็นความสำคัญของ การฟังอย่างเข้าใจ จากตัวอย่างของ COVEY และคงจะเห็นด้วยว่า การฟังอย่างเข้าใจ สำคัญอย่างไร ! | |
แล้วในชีวิตจริงที่ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นความตายถึงชีวิตตรงๆอย่างกรณีของ JENNY หละ ? การที่พนักงานขายที่จะต้อง ฟังความต้องการของลูกค้า ว่าเขามีปัญหาอะไร ต้องการอะไร ....มีผลแค่ไหนกับธุรกิจ? | |
และนี่เป็นวิธีที่จะแยกแยะ นักขายมืออาชีพ ออกจาก นักขายมือสมัครเล่น เพราะนักขายมือสมัครเล่นจะพยายามขายสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การปิดการขายจึงไม่เกิดขึ้น และที่ปิดไม่ได้ก็เพราะ ไม่พยายาม-ฟัง-ลูกค้านั่นเอง | |
หากทั้งบริษัทปิดการขายไม่ได้ แล้วสุขภาพของบริษัทจะเป็นอย่างไร ? (หากเปรียบว่าบริษัทคือชีวิตหนึ่ง) |
อุปนิสัยที่ 5 เป็นอุปนิสัยที่ทรงพลังมาก เนื่องจากมันสามารถทำให้เป้าหมายของการทำงานร่วมกับผู้อื่นสัมฤิทธิ์ผล | |
ในขณะเดียวกันหากคุณยังคงยึดหลักอุปนิสัย 1-4 อย่างมั่นคง คุณจะสามารถผ่านอุปนิสัยที่ 5 ได้ไม่ยาก เราลองมาดูความสัมพันธ์ของอุปนิสัยต่างๆถึง ณ จุดนี้กัน : | ![]() |
อุปนิสัยที่ 1:บอกคุณว่าในหลายๆทางเลือกตั้งแต่การเอาแต่ใจตน ไปจนถึงการถอยกรูดอย่างไร้หลักการซึ่งต่างกันอย่างสุดขั้วเลยนั้นคุณคิดตั้งแต่เริ่มต้นจากความเป็น PROACTIVE ของคุณบอกว่าตราบใดที่คุณสามารถควบคุมสถานการณ์ให้มีความสงบในระหว่างเจรจาได้ ความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และของคู่เจรจาของคุณจะดีที่สุดในการที่จะหาแนวทางที่ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุดมาสู่ทั้งสองฝ่าย (ที่กำหนดมาจากอุปนิสัยที่ 2 ที่ว่า เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ-ในที่นี้คือความสำเร็จของการเจรจาของการทำงานร่วมกันและไม่แตกหักไปเสียก่อน ) และด้วยอุปนิสัยที่ 3 ที่ว่า :ทำสิ่งที่สำคัญก่อนนั้นก็บอกคุณว่า หากคุณสามารถสร้างบรรยากาศสมานฉันท์ได้ โอกาสที่จะประสบผลสำเร็จย่อมจะสูงขึ้น และบรรยากาศที่ว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณได้พิสูจน์ก่อน ริเริ่มก่อน (PROACTIVE) ในการตั้งใจสนใจ ฟังอย่างแท้จริง และอุปนิสัยที่ 4 ที่บอกคุณว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นเมื่อคู่เจรจาเชื่อว่าเขาจะได้ประโยชน์ด้วยชัยชนะทั้งคู่ ....และวิธีพิสูจน์ว่าคุณมีความจริงใจที่ดีที่สุดก็คือการ เข้าใจผู้อื่นก่อน....ก่อนที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจเรา นั่นเอง !! | |
คราวหน้าเรามารู้จักกับอุปนิสัยที่ 6 ที่จะทำให้เราและผู้อื่น ผนึกกำลัง เพื่อเป้าหมายร่วมอย่างมีประสิทธิผลกันนะครับ !! | |