ตอนที่
13 |
คิดแบบ WIN-WIN |
![]() |
||
นับจากนาทีแรกที่เราก้าวเข้าสู่ที่ทำงานเราได้นำความเป็น | ||
ตัวตนของเราเข้ามาในองค์กรด้วย ลองคิดดูว่าบรรยากาศการทำงานจะเป็นเช่นไรถ้าแต่ละคนใช้ความเป็น ตัวตน อย่างเต็ม 100% ในการทำงาน ? หากการมาทำงาน หมายถึงการมาหาความมั่นคงในชีวิต ธรรมชาติของการมีชีวิตคือการต่อสู้ดิ้นรน หากวิธีต่อสู้ของแต่ละคนคือมุ่งหวังแต่จะให้ตนเองเป็นผู้ ชนะ โดย ไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นไร คงเดาได้ไม่ยากที่เราจะ ตอบอย่างซื่อสัตย์ในใจว่าสิ่งที่จะเกิดตามมา คือ ความวุ่นวาย ความวุ่นวายนี้กินความรวมถึงสิ่งที่มองเห็นด้วยตาและสิ่งที่อยู่ใต้น้ำเหมือนภูเขาน้ำแข็ง (ICEBERG) ที่มองไม่เห็น แต่เราทุกคนรู้ดีว่า มันมีจริง ! เพราะลึกๆแล้วไม่มีใครยอมเป็น ผู้แพ้ตลอดกาล ในที่สุดความร่วมมือที่ผู้แพ้ให้จะลดลง ลดคุณภาพความร่วม |
มือลงและทำให้ประสิทธิภาพของส่วนรวมต่ำลงจนในที่สุดก็อาจมาถึงวันที่องค์กร อยู่ไม่ได้ ! และเมื่อวันนั้นมาถึง ทุกคนก็เป็นผู้แพ้ ! ( ลองเทียบเคียงกับการเมืองไทยในปัจจุบัน ) | |
STEPHEN R. COVEY จัดประเภทความสัมพันธ์ที่เราพบเห็นกันอยู่ในองค์กรของเรา 4 ประเภทดังนี้ : | |
1- ชนะ / แพ้ | |
ความหมายที่ตรงๆคือ ผมชนะ / คุณแพ้ | ![]() |
ตัวอย่างด้านกีฬาเช่น แมนยูชนะลิเวอร์พูล 2 / 1 | |
ตัวอย่างในด้านครอบครัวของแนวคิดแบบนี้เช่น ถ้าผมทำดีกว่าน้องของผม พ่อแม่ก็จะรักผมมากกว่าน้อง | |
ตัวอย่างในที่ทำงานเช่น ความคิดที่ได้รับความเห็นชอบนั้นเป็นของผมเองแหละ!หรือ ผมเป็นหัวหน้า ผมสั่งคุณต้องทำ ถ้าผมใช้ความเห็นของเขาจะทำให้เหมือนกับว่าผมแพ้ ฉนั้นผมต้องคัดค้าน ! | ||
ตัวอย่างในโรงเรียนเช่น ผมดีใจกับคุณด้วยนะที่แคโรลินลูกสาวของคุณได้เกรดดีที่อยู่ในกลุ่ม 10% ที่สูงที่สุดแต่ในขณะเดียวกันก็ขอแสดงความเสียใจที่จอห์นนี่ลูกชายคุณกำลังมีปัญหา เกรดเขาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก | ||
การมีแนวคิดแบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่บิดเบี้ยว มองว่าคุณค่าของมนุษย์ถูกวัดด้วยมิติที่ไม่ครบถ้วน ละเลยคุณค่าอื่นๆที่บางคนมีอยู่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ลืมมองไปว่าการวัดคุณค่าแบบนี้ไม่ได้ช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพในการอยู่รวมกันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับส่งเสริมการแข่งขันกันในมิติที่แคบและไม่ยุติธรรม และที่สำคัญเป้าหมายของการแข่งขันคือ เพื่อที่ตนเองจะชนะ ส่วนรวมจะแพ้ก็ไม่สนใจ ! | ||
สังคมที่ประกอบไปด้วยคนแบบนี้เป็นส่วนใหญ่จะไม่รู้จักคำว่า ความเอื้อเฟื้อ การช่วยเหลือกัน การรักษาน้ำใจกัน การสร้างสัมพันธภาพเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว | ||
ผลที่สุดประสิทธิภาพกลุ่มจะตกต่ำลงและ แพ้ทั้งองค์กร ต่อองค์กรที่มีประสิทธิภาพด้านสัมพันธภาพที่สูงกว่า | ||
2- แพ้ / ชนะ | |
![]() |
ความหมายที่ตรงๆคือ ผมแพ้ / คุณชนะ |
ตัวอย่างในครอบครัวเช่น ลูกอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ พ่อไม่อยากขัดแล้ว | |
ตัวอย่างในที่ทำงานเช่น คุณอยากทำอย่างที่คุณต้องการก็แล้วแต่คุณละกัน ( เพราะคุณไม่เคยฟังผมเลย ) หรือ ผมเป็นคนรักสงบ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สงบ ดำเนินการต่อไปได้เลย เอาอย่างที่คุณต้องการนั่นแหละ | |
กรอบความคิดแบบ แพ้ / ชนะ นั้นไม่ PROACTIVE ไม่มีจุดหมายที่วางไว้ในใจ ไม่มีหลักการ เขาแสวงหาความเข้มแข็งจากความนิยมจากผู้อื่น เขามักไม่มีหลักการของตนเองเพราะมัวเกรงจะขัดใจคนอื่น เขาถูกคุกคามจากอัตตาของผู้อื่นได้ง่าย คนเหล่านี้ต้องเก็บความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ไม่แสดงความรู้สึกของตนเอง ทำให้ไม่เคารพและศรัทธาในตนเองและในทางตรงกันข้าม เมื่อความเก็บกดไปถึงขีดสุด วันหนึ่งเขาจะแสดงออกมาในทิศทางตรงกันข้ามที่น่าเกลียดยิ่งกว่าเช่นการโกรธจัดอย่างไม่มีเหตุผล ในที่สุดก็จะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย หากองค์กรใดมีคนเช่นนี้มาก....องค์กรนี้จะไม่มีความคิดริเริ่ม ไม่มีการเพิ่มผลผลิต ผลคือ แพ้ทั้งองค์กร ต่อองค์กรที่มีประสิทธิภาพด้านสัมพันธภาพที่สูงกว่า | |
3- แพ้ / แพ้ | |
เมื่อคนแบบ ชนะ / แพ้ 2 คนมาอยู่ด้วยกัน นั่นหมายถึงคนที่ดันทุรังและเห็นแก่ตัว 2 คนมาปะทะกัน ผลคือทั้งสองฝ่ายมองไม่เห็นผลประโยชน์ของส่วนรวม ยอมให้ส่วนรวมพังทลายไปต่อหน้ามากกว่าที่จะเห็นตนแพ้ บางครั้งเหตุการณ์เลวร้ายถึงขนาดอาฆาตแค้นกัน จ้องทำลายกัน เมื่อเกิดสงคราม ผู้สูญเสียคือทั้งสองฝ่าย แม้จะมีผู้ชอบอ้างประกาศว่าตนเป็นผู้ชนะก็ตาม | |
นี่คือสถานการณ์ที่เกิดการ แพ้ / แพ้ ขึ้น มีการหย่าร้างของคู่สมรสหนึ่งที่ถูกศาลสั่งให้แบ่งทรัพย์สินคนละครึ่ง ด้วยความแค้น สามีจึงขายรถยนต์ราคา 10,000 ดอลล่า ในราคา เพียง 50 ดอลล่า แล้วแบ่งเงินให้อดีตภรรยาจำนวน 25 ดอลล่า เมื่อภรรยาร้องเรียน ศาลสั่งตรวจสอบจนพบความจริงว่าสามีขายในราคา 50 ดอลล่าจริงๆ อดีตภรรยาจึงทำอะไรอดีตสามีไม่ได้ ที่ซ้ำร้ายศาลพบว่าอดีตสามีก็กำลังขายทรัพย์สินอื่นๆในทำนองนี้เหมือนกัน นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากของ การคิดแบบ แพ้ / แพ้ แน่นอนว่าผลของมันคือ แพ้ทั้งครอบครัว ต่อครอบครัวที่มีประสิทธิภาพด้านสัมพันธภาพที่สูงกว่า | |
4- ชนะ / ชนะ | ||
![]() |
แนวคิดแบบ ชนะ / ชนะ เป็นกรอบความคิด | |
และจิตใจที่แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันตลอดเวลาของความสัมพันธ์ การแก้ ปัญหามุ่งเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์สร้างความพอใจร่วมกัน ทุกฝ่ายจะรู้สึกดีกับการตัดสินใจและพร้อมที่จะทำตามแผน ชนะ / ชนะมองเห็นชีวิตครอบครัวว่าควรดำเนินไปเพื่อความ ร่วมมือ ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน ไม่ว่าแข่งกันเป็นผู้นำหรือแย่งกันเป็นคนที่ลูกรักมากที่สุด | ||
แนวคิดแบบ ชนะ / ชนะ ในที่ทำงานมองว่าการปรึกษางานเพื่อผลดีของส่วนรวม การสร้างบรรยากาศเปิดเพื่อให้มีการออกความเห็นอย่างกว้างขวางเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม แทนการคิดว่าตนต้องการเป็นเจ้าของความคิดให้มากที่สุด แทนความกลัวว่าตนจะถูกลดบทบาทความเป็นผู้นำ การออกความเห็นของแต่ละคนนั้นทำไปเพื่อให้ที่ประชุมมีทางเลือกที่มากที่สุดเพื่อที่องค์กรจะได้ทางออกที่ดีที่สุด บางครั้งการกล่าวชมเพื่อให้เครดิตแก่ผู้อื่นเพื่อให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะก็เป็นวิธีที่ช่วยสร้างบรรยากาศ ช่วยสร้างความเชื่อใจระหว่างกัน ช่วยเพิ่มบัญชีออมใจที่ผู้อื่นมีต่อเรา | ||
การยอมรับอย่างเต็มใจต่อการวิจารณ์ของผู้อื่นที่มีต่อความคิดที่เราเสนอเพื่อให้ข้อสรุป สมบูรณ์ขึ้นจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าความเห็นของเขาได้รับการยอมรับ เขามีส่วนในการ กำหนดอนาคตองค์กร ความไว้วางใจกันของกลุ่มจะสูงขึ้น การพัฒนาสัมพันธภาพจะ สูงขึ้นๆในแต่ละรอบและไปพร้อมๆกับบัญชีออมใจของแต่ละคนที่เพิ่มพูนขึ้น ประสิทธิภาพความร่วมมือจะสูงขึ้น | ||
คำพูดจากคนที่เป็นแบบ ชนะ / ชนะ มักจะเป็นดังนี้ : | ||
ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณนะ แต่จะดีไหมถ้าเราจะเพิ่มอีกสักสิ่งหนึ่งเข้าไปเพื่อให้รัดกุมขึ้นโดย.... | ||
ผลคือ ทุกคนชนะ องค์กรชนะ ต่อองค์กรที่มีประสิทธิภาพความสัมพันธ์ที่ต่ำกว่า ! | ||
คราวหน้าเราไปรู้จักกับ.... 5 มิติของกรอบความคิดแบบชนะ / ชนะ ที่อาจเปลี่ยนชีวิตเราไปสู่สิ่งดีๆที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็ได้นะครับ.... | ||