TAKAHASHI KOREKIYO ผู้สร้างญี่ปุ่นด้วยนวัตกรรม |
|
![]() |
มีคนกล่าวกันเล่นๆมานานแล้วครับว่า ญี่ปุ่นกับไทยนั้นเริ่มต้นปฏิรูปประเทศพร้อมๆกัน ของเราก็ตรงกับสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ส่วนของญี่ปุ่นก็เรียกกันว่า ยุคสมัยของการปฏิรูปเมจิ 100 กว่าปีที่ผ่านไป เรากับญี่ปุ่นก็ห่างไกลกันเหลือเกินครับ ถ้าหากเราศึกษาประวัติศาสตร์ดีๆ จะพบว่า ยุคสมัยโน้นทั้งเราทั้งญี่ปุ่นก็เริ่มต้นพัฒนาอะไรต่ออะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน ทั้งการรถไฟ ไปรษณีย์ การศึกษา ฯลฯ |
น่าคิดใช่ไหมครับว่าอะไรหนอที่ทำให้เราต่างจากเขาเหลือเกิน ตัวเราหรือก็ไม่ได้ต่ำเตี้ยกว่าเขาสัักเท่าไร ผิวพรรณก็สีเหลืองเหมือนกัน กินข้าวก็เหมือนกันแม้จะข้าวคนละพันธุ์ก็เอาเหอะ |
วันนี้ผมเลยจะพาท่านผู้อ่านมารู้จักกับคนญี่ปุ่นสักท่านหนึ่งนะครับ ที่ในวงการของญี่ปุ่นถือกันว่าเป็นบิดาของการพัฒนาญี่ปุ่นสมัยใหม่คนหนึ่งเลยทีเดียว ท่านผู้นี้ชื่อว่า ทาเกฮาชิ โคเรคิโย ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้อำนวยการคนแรกของกรมทรัพย์สินทางปัญญาของญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 ของประเทศญี่ปุ่นเลยเชียว ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นคนทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรมคนเดียวในโลกที่เติบโตไต่เต้ามาจนกระทั่งเป็นผู้นำของประเทศได้ ตรงนี้มีประเด็นที่น่าสนใจเยอะครับ |
อย่างแรกคือคุณโคเรคิโย แกเป็นคนที่เติบโตมาในรอยต่อของสมัยเอโดะ(Edo)กับสมัยของการปฏิรูปเมจิ(meji Era)และสมัยประชาธิปไตยเพิ่งเริ่มต้นในญี่ปุ่นครับ ช่วงสมัยเอโดะนั้น ซามูไร ขุนนาง และโชกุนยังครองเมืองเป็นใหญ่อยู่ แล้วก็มีวัฒนธรรมประหลาดคือห้ามคิดของใหม่เด็ดขาด นวัตกรรมในญี่ปุ่นยุคนั้นคือเรื่องต้องห้ามนะครับ ใครทำหัวใส สมองดีนี่ถือว่ากระด้างกระเดื่องต่อรัฐ | ![]() |
และมีการลงโทษลงทัณฑ์พอสมควร เพราะในยุคนั้นญี่ปุ่นยึดนโยบายปิดประเทศ ไม่คบค้ากับใคร ไม่สุงสิงกับใคร ไม่รับเอาความเจริญใดๆทั้งสิ้น ในสมัยนั้นมีเพียงชาวฮอลันดาหรือดัทช์ หรือเนเธอร์แลนด์ในทุกวันนี้ เท่านั้นที่ยังพอจะคบหากับญี่ปุ่นอยู่บ้าง บรรดาความรู้ทางตะวันตกก็เลยพอจะไหลๆเข้ามาผ่านชาวฮอลันดานี่เอง ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ระบบโชกุนนั้นเรืองอำนาจมากครับ มีโชกุนโตกุกาว่า (Tokugawa ) เป็นผู้นำผู้ี่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลที่คนไทยรู้จักกันดี |
![]() |
ตั้งแต่ปีค.ศ.1639 (ที่ญี่ปุ่นประกาศนโยบายปิดประเทศ)จนถึงปีค.ศ.1854 (ซึ่งท่านนายพลแมทธิว เพอร์รี่แห่งสหรัฐอเมริกาใช้นโยบายเรือปืนบีบบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศเพื่อทำการค้าขาย)นั้น ญี่ปุ่นเน้นหนักที่การค้นคว้าตัวตนของตนเอง มีการศึกษารากเหง้าและวัฒนธรรมตนเองอย่างลึกซึ้งตลอดเวลากว่า 200 ปี ซึ่งใช่ว่าจะไร้ประโยชน์นะครับ การปิดประตูทบทวนตัวเองอย่างนานของญี่ปุ่นในสมัยเอโดะนี้ กลับกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของการพัฒนาประเทศในยุคต่อไป คือเท่ากับว่า "รู้ตัวตน" ก่อนแล้วจึงจะรับเอาวัฒนธรรมและความเจริญของ "ผู้อื่น" โดยเฉพาะทางตะวันตกในสมัยเมจิ
|
![]() |
จริงๆแล้วเราต้องโทษนายพลแมทธิวครับ เพราะถ้่าแกไม่ไปบังคับให้ญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศเสียแล้วตอนนี้พี่ไทยเราอาจจะนำหน้าญี่ปุ่นอยู่บ้างเล็กน้อยก็ได้นะครับ แต่สุดท้ายก็กงกรรมกงเกวียน เพราะในเวลาอีกไม่นานญี่ปุ่นก็พัฒนาเร็วมากจนสามารถไปที้งระเบิดอันลือลั่นใส่กองทัพสหรัฐ ที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ใน ปีค.ศ.1941 |
ดูเอานะครับในเวลาเพียง 87 ปี ญี่ปุ่นสามารถพลิกสถานะกลับจากการเป็นผู้ถูกรุกราน กลายเป็นผู้รุกรานบ้างเข้าให้ เพียงช่วงชีวิตของคนๆหนึ่ง อย่างน้อยเท่านั้นนะครับ อย่างมากก็ไม่เกิน2ช่วงอายุคน ญี่ปุ่นกลายมาเป็นมหาอำนาจผู้พลิกชะตาโลกได้ |
ในช่วงปลายๆของสมัยปฏิรูปเมจินั้น ญี่ปุ่นได้พัฒนาในเชิงอุตสาหกรรมอย่างมาก พร้อมๆกับเหล่าทหาร ก็เรืองอำนาจมากขึ้นและนำไปสู่ความคิดในเรื่องของการขยายอำนาจของประเทศออกไปจนกระทั่งเกิดสงครามกับจีน รัสเซีย เกาหลีและไต้หวัน หลังจากซ่ากับประเทศเพื่อนบ้านพอหอมปากหอมคอแล้ว ญี่ปุ่นก็เลยออกไปซ่าได้ไกลขึ้นจนถึงหมู่เกาะฮาวายที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ดังที่เรียนให้ผู้อ่านทราบแล้ว |
ย้อนกลับมาที่คุณโคเรคิโยครับ แกเกิดในสมัยรอยต่อของการปฏิรูปและลัทธิชาตินิยมก็จริงแต่ก็ได้รับการศึกษาที่ทันสมัยนะครับ คุณโคเรคิโยแกเป็นลูกบุญธรรมของซามูไร และได้มีโอกาสเรียนหนังสือฝรั่งกับเขาบ้าง ภายหลังได้ศึกษาที่อังกฤษอีกด้วยเมื่อกลับมาญี่ปุ่นก็ได้รับราชการในกระทรวงศึกษาและกระทรวงพาณิชย์ ต่อมาได้วางรากฐานเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาจนได้ัรับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสิทธิบัตรของญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นปฐมบท ฉากแรกของการรังสรรค์นวัตกรรมในญี่ปุ่นอย่างมโหฬาร | ![]() |
ต้องเรียนท่านผู้อ่านนิดนะครับ อังกฤษนั้นถือเป็นประเทศต้นแบบของกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา ดังนั้น สิ่งที่คุณโคเรคิโยได้เรียนรู้มาจึงมีคุณค่าไม่น้อยในเวลาที่เขากลับมาบ้านเกิดเมืองนอน |
เรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับนวัตกรรมนี่สัมพันธ์กันมากนะครับ เหมือนกับไก่กับไข่ ยังไงยังงั้น คือมันต้องเกิดพร้อมๆกัน จึงจะสร้างพลังมหาศาลได้ หากญี่ปุ่นเน้นแต่การสร้างนวัตกรรมโดยไม่มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเท่าที่ควร ไอ้ที่ทำๆไปก็จะถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายๆคนสร้างสรรค์ก็หมดกำลังใจ คนจะคิดต่อไปก็ไม่อยากจะทำ นวัตกรรมก็ไม่เกิดขึ้น |
![]() |
ในทางกลับกัน หากมาส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเดียวโดยไม่ส่งเสริมนวัตกรรม ก็เหมือนกับมีถนนซีเมนต์อย่างเดียวแต่ไม่มีรถวิ่งนะแหละครับ ต้องปล่อยให้วัว ควายมาเดินเหมือนถนนตามต่างจังหวัดไกลๆของไทยเรา ที่ทำให้เปลืองงบประมาณเล่นๆเสียงั้น หรืออุปมาอุปไมยก็เหมือนกับกับเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้โรงเรียน ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้แหละครับ คอมพิวเตอร์อย่างดีอย่างไรก็ช่วยพัฒนาเด็กตาดำๆไม่ได้ |
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากับการส่งเสริมนวัตกรรมจึงทำไปพร้อมๆกันนะครับ และคุณโคเรคิโยแกก็ทำได้ดีมากสามารถกระตุ้นให้ชาวญี่ปุ่น ปลดปล่อยพลังในความคิดสร้างสรรค์มหาศาล ออกมาเพื่อพัฒนาประเทศด้วยได้ ในยุคของแก นวัตกรรมมากมายเกิดในญี่ปุ่นไม่เว้นแต่ละวัน คนคิดของใหม่ก็ได้เอามาจดสิทธิบัตร วงการอุตสาหกรรมก็เติบโตปะเหมาะกับลัทธิชาตินิยม ทำให้บ้านเมืองพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว |
คุณโคเรคิโยจึงเป็นผู้บุกเบิกการสร้างระบบนวัตกรรมในญี่ปุ่นเป็นท่านแรกและในที่สุดก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการเมือง จนกระทั่งกลายเป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น | ![]() |
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อาจจะตอบคำถามได้บ้างบางส่วน หนึ่งว่าญี่ปุ่นเจริญมาได้ก็เพราะการวางรากฐานที่ถูกต้องการรู้จักตนเอง และมุ่งมั่นกับการสร้างประเทศด้วยนวัตกรรมเขาถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้ดังนั้นเรามาช่วยกันสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทยเยอะๆเถอครับ เพื่อที่ประเทศของเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่หยุดนิ่งของคนไทย |
นับถือชาวญี่ปุ่นจริงๆที่เขาทำสำเร็จ จนจิตวิญญาณ "นวัตกรรม" แพร่ไปถึงระดับครัวเรือน ทุกคนจึงมีนิสัย "สร้างสรรค์" อย่างเช่นในรายการ "เกมส์ซ่า...ท้ากึ๋น" หรือ "TV-Champian" เป็นต้น ทำอย่างไรประเทศไทยที่รักของเรา จึงจะเป็นอย่างนี้ได้หนอ? |
พิชัย
อรุณพัลลภ |
Department
of Quality Management |
![]() |
|