เวียดนาม : เราแพ้เขาแล้วตั้งแต่วานนี้

 

จาก สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
โดย...ปรีดา ยังสุขสถาพร
 
เมื่อปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 ผมได้มีโอกาสต้อนรับรองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศของเวียดนาม พร้อมกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมนวัตกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐระดับชาติ ตั้งมาแล้ว 3 ปี มีสำนักงานใหญ่ที่ฮานอย และมีสาขาที่ดานัง
ท่านรองอธิบดีเล่าให้ผมฟังว่า เวียดนามกำลังจะมีโรงกลั่นน้ำมันของตัวเอง 2 แห่ง และตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2020  จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้งาน
เวียดนามทุกวันนี้มีหน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องนิวเคลียร์ เทคโนโลยี 2 หน่วยงาน เหมือนๆ กับประเทศไทยไม่มีผิด โดยหน่วยงานหนึ่งแยกไปทำวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะ ส่วนอีกองค์กรเป็นหน่วยนโยบายและกำกับดูแลกฎระเบียบเกี่ยวกับนิวเคลียร์เทคโนโลยีแม้ว่าเรากับเวียดนามจะมีอะไรที่คล้ายๆ กันมาก บางอย่างเขาดูเหมือนจะตามเรา แต่ผมคิดว่า หากเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นแล้ว เรากับเวียดนามห่างกันไกล
 

 

พาลให้นึกถึงนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า กระต่ายทะนงตนว่าวิ่งเร็ว จึงนอนหลับฝันหวานด้วยความสบายใจว่าไม่มีทางแพ้เด็ดขาดยังไงๆ ก็ชนะเห็นๆ และไม่เคยเห็นเต่าอยู่ในสายตา แต่ตอนจบของนิทานเรื่องนี้อย่างที่เราทราบดี เต่าชนะขาดลอย โดยที่กระต่ายไม่มีทางโต้เถียงอย่างใดทั้งสิ้น
ท่านผู้อ่านคิดว่า นิทานเรื่องนี้ กระต่ายนั้นแพ้เต่าจริงๆ ตอนไหนตั้งแต่ตอนที่ท้าแข่งขันกัน ตั้งแต่กระตายเริ่มคิดที่จะนอนงีบหลับเพื่อพักผ่อน หรือตั้งแต่ตอนที่เต่าเดินผ่านกระต่ายขึ้เซาไป
มันผิดที่ความคิดหรือ Attitude ของกระต่ายครับ และมันผิดมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นที่จะแข่งกัน

ลองพิจารณาทางเลือกของกระต่ายดู

กระต่ายนั้นชนะแน่ๆ ถ้าเพียงแค่ “เดิน” เฉยๆไม่ต้องวิ่งด้วยซ้ำหรือจะเดินอุ้มเต่าไปจนใกล้เส้นชัยแล้วค่อยวางลงก่อนถึงเป้าหมายยังได้ ได้ทั้งเพื่อนได้ทั้งชัยชนะ
กระต่ายจะเลือกไม่ท้าทายก็ได้ครับ แต่ท้าแล้ว มาประมาทเอาตอนกลางทางนี่สิผิด และผิดแบบไม่มีโอกาสแก้ตัว
เมื่อเทียบกับบ้านเรา ผมยิ่งนึกยิ่งสะท้อนใจ วันนั้น ผมคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของเวียดนามด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ และกังวลใจอย่างมาก
เราคงจะเคยได้ยินตลกร้ายๆ ที่ว่า สิงคโปร์เมื่อ 30 ปีก่อน ต้องบินมาดูงานที่เมืองไทย ไต้หวันเมื่อ 40 ปีก่อน ยากไร้เสียยิ่งกว่าชนบทที่ห่างไกลของบ้านเราทุกวันนี้ ญี่ปุ่น 50 ปี ก่อนคือ ประเทศที่แพ้สงคราม และจีน คือ ประเทศที่มีแต่ความวุ่นวาย จนฝรั่งต้องเรียกว่าขี้โรคแห่งเอเชีย ส่วนเกาหลี นะหรือ นึกออกแต่ภาพสงครามกับความอดยาก
 
วันนี้ภาพทั้งหมดกลับกันโดยสิ้นเชิง  ในขณะที่ทุกๆ ประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว  ประเทศไทยกลับกลายเป็นผู้ตามทีละน้อยๆ เราก็วิ่งเหมือนกันแหละครับ 
ประเทศไทยก็พัฒนาไปมากเช่นกันเพียงแต่เทียบกันแล้วเราไม่รุ่งเรืองเท่าเขา ก็แสดงง่ายๆว่า เราวิ่งช้าหรือมัวแต่อุดอู้อยู่กลางทางหรือเปล่า
กระต่ายผู้ภาคภูมิและเย่อหยิ่งทำไมถึงแพ้เต่าที่เชื่องช้าและงุ่มง่าม และทำไมเต่าที่ต้องแบกกระดองอันเป็นภาระที่แสนหนักไปด้วยยังสามารถเอาชนะกระต่ายตัวปลิวได้
้ชัดเจนว่า ในชีวิตจริงประเทศไทยเปรียบเหมือนกระต่าย ผู้เคยท้าวิ่งแข่งกับมาเลเซีย และ สิงคโปร์ วันนี้หลายๆคนบอกว่าคู่แข่งใหม่เราคือ เวียดนาม บางคนบอกว่า เขามาแรงจริงๆ วิ่งรดต้นคอเราแล้ว
ส่วนคนที่มองโลกในแง่ดีหน่อยก็บอกว่า พูดเกินไปหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้เวียดนามยังมีปัญหามากมาย โครงสร้างพื้นฐานของเวียดนามยังไม่ดีเท่าเราเลย ถนนหนทาง สายโทรศัพท์  อินเตอร์เน็ต แรงงาน ระบบการศึกษา เรายังเหนือกว่ามาก เวียดนามยังต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนาและไทยจะยังคงเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ได้อีกแน่นอน
ฟังแล้วผมนึกถึงกระต่ายตัวดีอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เพราะคิดแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้กระต่ายแพ้
ถ้าท่านผู้อ่านถามความเห็นผม ผมจะบอกว่า เราแพ้เวียดนามครับ
ทำไมนะหรือครับ ก็เพราะผมมมองเห็นว่าในขณะที่เวียดนามพุ่งไปข้างหน้าบนเวทีการค้าและเศรษฐกิจอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผู้คนทั้งในภาครัฐและเอกชนต่างมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบ้านเมืองของตัวเองอย่างจริงจัง  คำว่า “จริงจัง” นี้ต้องเน้นนะครับว่าเป็นเรื่องซีเรียส จริงๆ ไม่ใช่พูดเอาๆ หรือทำแผนกลยุทธ์กันปีละ 12 ครั้ง 100 เวที  แล้วบอกว่าเรามีแผน มีทิศทาง มียุทธศาสตร์การพัฒนาแล้ว
เพราะอันนั้นมันไม่ “จริง” ครับ ของจริงอยู่ที่การกระทำ การลงมือทำ ไม่ใช่บนกระดาษเปื้อนหมึก หรือ บนเวทีสัมมนา
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมเคยพบข้าราชการเวียดนามคณะหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มข้าราชการหนุ่มไฟแรง ในวันนี้ ผมพบเขาอีกครั้ง พวกเขาอีกครั้ง พวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองรับผิดชอบงานสำคัญๆต่างๆกันไปทุกครั้งที่ผมเจอเพื่อนเวียดนาม ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงจนรู้สึกได้
ในทางกลับกัน ผมก็รู้สึกตัวเองว่า เขาค่อยๆ ถอยห่างจากเราไปทุกขณะ
แล้วเราควรทำอย่างไร  จะเป็นกระต่ายขี้เซาหลับยาวข้ามคืน ข้ามวัน ข้ามปี ข้ามยุคสมัยกัน หรือว่าเราจะตื่นขึ้นมาสู้กับความจริง ไม่ใช่ฝันกลางวันว่า เวียดนามวันนี้ไม่ใช่เต่าแล้ว เขาเริ่มจะยืนสองขาวิ่งแบบกระต่ายมาระยะหนึ่ง ไทยต่างหากที่กำลังจะต้วมเตี้ยมกลายเป็นเต่าของภูมิภาค
ผมเชื่อว่า เกมนี้ เราไม่ใช่กำลังแข่งขันกับเวียดนามหรอกครับ เพราะเพื่อนเวียดนามบอกกับผมว่า วันนี้เขากำลังเทียบตัวเองกับเกาหลี ไต้หวันและจีน ผมถามเขาว่า แล้วไทยล่ะ เพื่อนคนเดิมบอกว่า “ยูนะไม่ใช่คู่แข่งของไอหรอก” แล้วเราเป็นอะไรล่ะ ผมถามกลับ เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า “ไทยเป็นเหมือนครูให้เวียดนามเรียนรู้อะไรต่ออะไรหลายๆอย่าง...เวียดนามทำหลายเรื่องได้สำเร็จก็เพราะมีบทเรียนจากไทย...ดังนั้น เราควรจะร่วมมือกันมากกว่าที่จะแข่งขันกันนะ”
ผมฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจเพราะคำพูดของเขาสะท้อนภาวะผู้นำที่เด่นชัดอย่างยิ่ง ผมแปลความหมายของเขาอีกทีนะครับว่า ที่เขาโตได้ทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากความผิดพลาดของไทย พูดง่ายๆ คือ เวียดนาม “เรียน” จากความ “ล้มเหลว” ของไทยทั้งนั้น เมื่อไม่มีทางแพ้แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชนะหรือไม่ชนะครับ ในไม่ช้าพี่ไทยไม่แน่ว่าจะต้องอิมปอร์ตเอาบทเรียนจากเวียดนามกลับมาก็ได้  ในฐานะที่เป็นทางออกของปัญหาหลายๆอย่างที่เราเคยมี เป็นอยู่ และอาจจะมีในอนาคต
ดังนั้น  เราจึงน่าจะแพ้เขาแล้วครับ  และเป็นการแพ้มาตั้งแต่เมื่อวานนี้ วันที่กระต่ายเริ่มหยุดเดินในขณะที่เต่ายังคงค่อยๆ เดินช้าๆแต่แน่วแน่และมั่นคง

 

ทราบแล้วเปลี่ยน! ใส่ "นวัตกรรม" เข้าไปใน "ความคิด" ก่อนเป็นสิ่งแรก หันไปมอง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ทิ้ง "ท่าที" ที่จำกัดความคิดออกไป สร้างบรรยากาศ "เปิด" ไม่ว่าใน "ที่ทำงาน" หรือ "ที่บ้าน"
 
พิชัย  อรุณพัลลภ
Department of Quality Management