Innovation 25
 
จาก สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
โดย...ปรีดา ยังสุขสถาพร
 
 
ชื่อ innovation 25 ฟังดูเหมือนชื่อหนัง Hollywood เลยใช่ใหมครับ  จริงๆแล้วเป็นของญี่ปุ่น และที่สำคัญไม่ใช่หนงใช่หนังอะไรทั้งนั้นครับ มันคือ “แผนการ” ของญี่ปุ่นในการสร้างนวัตกรรมภายใน ปี 2025 หรืออีกประมาณ 18 ปีข้างหน้า
รัฐบาลญี่ปุ่นถือว่าเรื่องของ “นวัตกรรม” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของประเทศทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าประเทศญี่ปุ่นมีรัฐมนตรีว่าการนวัตกรรมด้วยครับ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Minister of State for Innovation) น่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีนักการเมืองมาดูแลเรื่องนวัตกรรมพิเศษ และถึงกับต้องตั้งคนให้เป็นรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะเพื่อกำหนดนโยบายว่า ประเทศญี่ปุ่นจะสร้างนวัตกรรมอย่างไร  จะเดินไปทางไหน จะพัฒนากันต่อไปทิศทางใด (และถือเป็นรัฐมนตรีเกรดเอเสียด้วย)
แล้วแผนการ innovation 25 นี้เขาไม่ได้ทำกันเล่นๆ แบบประเทศเรานะครับ  ของเราแผนเยอะกว่าคนทำงาน คือวันๆ เจ้าหน้าที่ไม่ต้องทำงานอะไรนอกจากนั่งทำแผน แล้วจะเจริญไปได้อย่างไรครับพี่น้อง ที่ญี่ปุ่นเขาเขียนเจ้า innovation 25 แบบมีขั้นตอนที่ชัดเจนเป็นแผนที่เขาหวังไว้สูงมากว่าจะทำให้ญี่ปุ่นขยับระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงขึ้น (ซึ่งทุกวันนี้ก็สูงมากอยู่แล้ว) เพื่ออะไรหรือครับ ? ก็เพื่อหนีคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน จีน อินเดีย และแน่นอนว่าต้องรวมสหรัฐอเมริกาด้วย
ยิ่งพูดยิ่งงงใช่ไหมครับ  เพราะญี่ปุ่นวันนี้ยังไงๆก็ดีกว่า จีน อินเดีย ไต้หวัน ฯลฯ อาจจะสูสีบ้างกับสหรัฐ แต่ก็ไม่เห็นจะน่ากังวล  Mai Pen Rai สบายมาก เป็นพี่ไทยบ้างคงคิดอย่างนี้แน่ เพราะขนาดถูกเพื่อนบ้านหนีขึ้นระดับบนกันหมดแล้ว เรายังต้วมเตี้ยมอยู่กับที่ตลอดมา
ญี่ปุ่นนั้นต้องกังวลแน่นอนครับ  อย่าลืมว่า ความสำเร็จในวันนี้ไม่มีทางการันตีความสำเร็จในอนาคตได้เลย  เพราะในความเป็นจริงญี่ปุ่นกำลังจะเจอศึกหนักหลายด้านด้วยกัน
 
อย่างแรก คือ จำนวนประชากรที่ลดน้อยถอยลง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของเฒ่าชะแรแก่ชรา  นี่เป็นปัญหาอันดับหนึ่งของประเทศเลยเชียว หากไม่เริ่มคิดกันตั้งแต่วันนี้ อีก 20 ปีข้างหน้า คนเฒ่าก็เต็มบ้านเต็มเมือง หมดเรี่ยวแรงทำอะไรกันพอดี มีแต่ใช้เงินทั้งกินทั้งอยู่ และรักษาสุขภาพ ส่วนคนที่จะมาหาเงินก็น้อยลงจนใจหาย เผลอๆ ก็ไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่ต้องใช้ในการประกันสังคม ประกันสุขภาพและการพัฒนาประเทศ เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดกับญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวนะครับ
แทบทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะคนในโลกที่พัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะมีลูกน้อยลง หรือไม่ก็ไม่ยอมมีลูกกันเลย ทำให้ในอนาคตจะขาดคนที่มาสร้างรายได้ให้กับประเทศ  ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องของเราคือ ต้องรักกันครับ รักกันให้มากๆ
ประการที่สองก็อย่างที่เรียนไปว่า เพื่อนแขก  เพื่อนจีน ต่างฮื่มๆหายใจรดต้นคออยู่ทุกวันๆ กดดันกันขนาดนี้ไม่หนีโดยการพัฒนาตัวเองให้ห่างออกไป วันหนึ่งอาจจะถูกกลบรัศมีแดนอาทิตย์อุทัยได้เชียว
ประการที่สาม เห็นเป็นเรื่องของ “เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย” (หนังไทย) หรือ “โลกร้อน” (อัล กอร์) นั่นแหละครับเรื่องเดียวกัน ญี่ปุ่นเป็นเกาะ หากโลกร้อนขึ้นมากๆ ถูกท่วมเอาแล้ว จะไปอยู่ที่ไหนกัน ชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนจึงขอหย่าขาดกับเมียแล้วอพยพมาอยู่ที่เชียงใหม่เสียเลยเป็นการถาวร นัยว่าเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกน้ำท่วมตายในอีกหลายๆปีข้างหน้า (แล้วทำไมไม่เอาเมียมาด้วยฟ่ะ??? เรื่องนี้มีที่มา โอกาสดีๆจะเล่าให้ฟังครับ)
ผมว่าเอาแค่สามอย่างนี้ก็คงจะพอให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเครียดแล้วหล่ะครับ อย่าลืมว่าโลกร้อนนี่สำคัญมาก เพราะสนธิสัญญาที่ว่าด้วยก๊าชเรือนกระจก ก็ทำที่ญี่ปุ่นครับ  เรียกว่าเกียวโต โปรโตคอล เขาจึงเป็นชาติที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
กลับมาที่เรื่องของ innovation 25 ครับ ตามแผนการนี้ญี่ปุ่นเขาตั้งใจที่จะพัฒนานวัตกรรมที่น่าสนใจมากมายเช่น
 
“ยาตรวจสุขภาพ” เขียนไม่ผิดหรอกครับ เป็นยาตรวจสุขภาพจริงๆ ท่านสามารถทานยานี้ก่อนเข้านอน พอเราหลับเจ้ายาที่ว่าก็จะออกไปตรวจสอบร่างกายในของท่านว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติบ้างสำรวจไปก็ส่งข้อมูลที่ศูนย์พยาบาล พอท่านตื่นนอนนก็อาจจะมีแฟกซ์ อี-เมล หรือ SMS มาบอกท่านว่า สุขภาพท่านวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นการผสานระหว่างนาโนเทคโนโลยีกับเทคโนโลยีชีวภาพที่ให้ผลทางการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างที่น่าสนใจต่อมาก็เช่นกัน  การสร้างรถยนต์รุ่นใหม่ที่ระหว่างขับไปนอกจากจะไม่ปล่อยมลพิษออกมาสู่อากาศแล้ว ยังจะช่วยทำความสะอาดอากาศรอบๆ ด้วยในขณะเดียวกัน (คือเป็นรถยนต์เป็นทั้งเครื่องฟอกอากาศ) นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์โดยเฉพาะ เพราะแรงงานในอนาคตลดลง คนป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์กลับพุ่งสูงขึ้น  ก็เลยต้องหาทางเอาหุ่นยนต์มาช่วยพยาบาลแทน ไม่รู้จะสวยและน่ารักเหมือนพยาบาลเป็นๆหรือเปล่า (ฮา)
Innovation 25  เป็นแผนที่ไม่ใช่แค่ดูสวยเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยการผูกมัดหรือ Commitment ที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะทำเรื่องอะไรบ้างไล่มาตั้งแต่การเพิ่มงบประมาณรายจ่ายเป็นสองเท่าในการพัฒนากำลังคนสำหรับอนาคต การปฎิรูปมหาวิทยาลัยโดยการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบทั้งหมด  การเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การทบทวนกฎ ระเบียบต่างๆ ให้สอดรับกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งหมดที่พูดมานี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะพูดๆ เอาฝ่ายเดียวใช่ไหมครับ  คนทั่วไปจะเอาด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้น ใน innovation 25 จึงกำหนดให้มีโครงการกระตุ้น “ความคิด” ที่เป็นนวัตกรรมในทรัพยากรมนุษย์ของเขา เป้าหมายคือ ต้องการเปลี่ยนวิธีคิด หรือ Mind Set ของคนญี่ปุ่น แต่เดิมที่เชื่อฟังคำสั่งและระบบอาวุโสโดยเคร่งครัด ให้กลายมาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
สรุปแล้ว innovation 25 วางแผนไว้ในสามส่วนหัวใจสำคัญครับ คือ “ระบบ เงิน และคน” ซึ่งทั้งสามองค์ประกอบนี้จะต้องไปด้วยกันเพื่อขยับประเทศไปข้างหน้า  อย่างใดอย่างหนึ่งสะดุดไม่ได้ เพราะจะไปฉุดให้ตัวอื่นตกลงมาด้วย ระบบต้องเอื้อ เงินถึง และคนพร้อม คือสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เฉพาะสำหรับระดับประเทศนะครับ ระดับองค์กรเองก็ต้องดู 3 เรื่องนี้เป็นหลัก ถ้าหากจะมุ่งเน้นที่การสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบริษัทให้เติบโต
 
   
ฝ่ายมาตรฐานอาคาร
Department of Quality Management