รักษาตัวอย่างไร ในสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย
 
 
ถึงวันนี้มีแต่คำถามจากทุกๆคนว่า"เมื่อไรเศรษฐกิจจึงจะฟื้น"
ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ หรือเฟด (FED) มองว่า ในกรณีที่ดีที่สุด เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2010 คือ ปีหน้า โดยมองว่าการว่างงานจะขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในปลายปีนี้ที่อัตรา 9% และหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นในปีหน้า อัตราการว่างงานจะลดลงเหลือ 5% ในปี 2011
อันนี้เป็นกรณีดีที่สุดนะคะ แปลว่าถ้าแย่กว่านี้ ปีหน้าจะยังเห็นการตกต่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง และอาจไปฟื้นตัวกลางปีหน้าหรือปลายปีหน้าแทน
อ่านแล้วอย่าเพิ่งหดหู่ค่ะ อย่างน้อยก็ยังมีคนเห็นว่าพอจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ถ้ายังไม่รู้เลยว่าจะเห็นแสงเมื่อไร อันนั้นสิคะน่ากลัวกว่า
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมองว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียอาคเนย์แบบประเทศไทยนี้ ได้เปรียบกว่าเอเชียตะวันออก (ซึ่งในกลุ่มนักลงทุนจะเรียกกันว่า เอเชียเหนือ หรือ NORTH ASIA) หมายถึง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลี เพราะกลุ่มเอเชียเหนือมีปัญหาเรื่องกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ (ยกเว้นจีนที่เศรษฐกิจจะยังเติบโตอยู่ และยังมีแผนจะกระตุ้นการใช้จ่าย)
ในขณะที่ประเทศในเอเชียอาคเนย์นั้น กำลังซื้อในประเทศยังดีกว่า และมีแผนกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐด้วย จึงอยู่ในสถานะที่น่าจะไม่ถดถอยรุนแรง และก็จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า
ดิฉันมองว่า จริงๆ แล้ว โครงสร้างประชากรมีผลมากค่ะ ประเทศญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และเกาหลี มีประชากรสูงอายุจำนวนมาก ในขณะที่ประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ หรือกลุ่มอาเซียน มีประชากรที่อยู่ในวัยทำงาน และประชากรอายุน้อยเป็นจำนวนมาก
เด็ก และคนหนุ่มสาวจะมองโลกในแง่ดี มีความหวัง เพราะฉะนั้น ก็จะพร้อมที่จะออกมาใช้จ่ายถ้ามีเงินและมีโอกาส ในขณะที่ผู้สูงอายุจะมีความระมัดระวังมาก เพราะจะห่วงความไม่มั่นคง
คำแนะนำในเบื้องต้นสำหรับการรักษาตนให้พ้นจากภัยเศรษฐกิจมีดังนี้ค่ะ
๐คนที่มีกำลังซื้อ มีรายได้คงเดิม เงินลงทุนอาจลดน้อยลงไปบ้าง แต่ความมั่งคั่งโดยรวมยังดีอยู่ ขอแนะนำให้ออกมาใช้เงิน น้องๆ ที่เป็นคนขายของที่ได้รับเงินจากค่าคอมมิชชั่น บอกกับดิฉันว่า อยากให้คนมีกำลังซื้อออกมาซื้อ เพราะถ้าไม่ออกมาซื้อกัน กลุ่มของคนขายที่อยู่ด้วยค่าคอมมิชชั่นนี้ก็จะเฉาไปด้วย รายได้อาจไม่พอใช้ ลูกเต้าจะเดือดร้อน ลำบาก
ซื้อตอนนี้มีรายการลดแลกแจกแถมเต็มไปหมด ดูแล้วตาลายไปเลย เอาเป็นว่าอย่างน้อยๆ ท่านก็ได้ลดราคา 20% จากราคาเดิมที่เคยซื้อสมัยที่เศรษฐกิจเฟื่องๆ คนกลุ่มนี้จะช่วยชาติได้เยอะหากออกมาใช้เงินค่ะ
๐คนที่มีงานทำ เกาะติดงานให้แน่นๆ นะคะ เพิ่มความขยัน เพิ่มรอยยิ้มบนใบหน้า พยายามทำให้เจ้านายเห็นหน้าหน่อย ตำราฝรั่งเขาบอกว่า เจ้านายมักจะตัดสินใจเลิกจ้างได้ง่าย ถ้าเขาไม่รู้จักพนักงานคนนั้น
ยากจะบอกคนที่ประท้วงเรียกร้องจะเอาเงินโบนัสเพิ่มขึ้น หรือเอาโบนัสเท่าที่เคยได้รับว่า "มีงานทำ มีเงินเดือนก็ดีแล้วค่ะ ประท้วงขอโบนัส ไปนานๆ บริษัทอาจต้องปิด แล้วจะไม่มีงานทำ นอกจากจะไม่ได้โบนัสแล้ว ยังจะอดได้เงินเดือนด้วย"
๐คนที่ถูกลดจำนวนชั่วโมงทำงานลง ทำให้รายได้ลดลง ต้องพยายามทำอาชีพเสริม ถ้าหาอาชีพเสริมไม่ได้ก็ต้องพยายามลดรายจ่ายลง ให้เหมาะสมกับรายได้ที่ลดลงค่ะ
แนะนำให้ไล่ดูรายการค่าใช้จ่ายทุกหมวดหมู่ ดูว่าจะลดอะไรได้อีก บางคนใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ไม่ต้องโทรทุก 5 นาทีก็ได้ ไม่ต้องส่ง SMS วันละ 20 ครั้งก็ได้ ลดการรับประทานอาหารนอกบ้านลงไปบ้าง
๐คนที่เป็นเจ้าของกิจการ หนักหน่อยนะคะ นอกจากท่านจะต้องดูแลตัวเองและครอบครัวแล้ว ท่านยังต้องดูแลพนักงานด้วย พยายามรัดเข็มขัด ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย อาจขอให้พนักงานลดเงินเดือนของตัวเองชั่วคราวแบบสมัครใจ หรือให้สลับกันมาทำงาน เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ไม่นานหรอกค่ะ ไม่เกิน 2 ปี กัดฟันอดทน
 
แนะนำให้ดูแลสภาพคล่องให้ดี อาจลดจำนวนเงินทุนหมุนเวียนด้วยการลดสต็อกสินค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต ใช้เวลาผลิตลดลง ฯลฯ จะแนะนำให้เก็บหนี้ให้เร็วขึ้นก็ไม่คิดว่าจะทำได้ เพราะทุกคนก็ตึงเหมือนกัน เก็บได้ตามระยะเวลาปกติก็น่าจะดีใจแล้วค่ะ
๐คนที่เกษียณแล้ว พึ่งรายได้จากเงินลงทุน จะลำบากหน่อยค่ะ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก การลงทุนอื่นๆ ก็มีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสมกับท่าน ตอนนี้ต้องพยายามรักษาเงินต้นไว้
แนะนำให้ฝากเงินและซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พอโอกาสดีแล้วจึงค่อยนำมาจัดสรรลงทุนที่มีโอกาสรับผลตอบแทนสูงขึ้น
ขอให้ทุกท่านสามารถเอาตัวรอด ฝ่าฟันวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกในครั้งนี้ไปได้ด้วยดี ครั้งนี้เป็นวิกฤติที่ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี คือ ในช่วงชีวิตของเราเกือบทุกคนเลยทีเดียวค่ะ
 
 
จาก...www.bangkokbiznews.com
 
Department of Quality Management