Obama : Hero ของคน “ชนชั้นต่ำ”
 
เจ้าของวาทะบันลือโลก – “Yes , we can !”
ตี 4.00 ของเช้าวันที่ 5 พย. 2008 (เวลาประมาณบ่าย 4 ของวันที่ 4 พย. ของอเมริกาฝั่งตะวันออก)
วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติด้วยความรู้สึกตื่นเต้นลึกๆเพื่อที่จะติดตามข่าว CNN เกี่ยวกับผล Exit Poll ว่าใครน่าจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาคนที่ 44 หลังจากที่เกือบตลอด 2 เดือนก่อนหน้านี้ได้รับฟังข่าวสารเกี่ยวกับการขับเคี่ยวชิงตำแหน่งกันระหว่างนาย Barack Obama จากพรรค Democrat และนาย John Mccain คู่ชิงจากพรรค Republican ที่ทั้งคู่ต่างงัดกลยุทธทีเด็ดทุกวิธีที่ทำได้เพื่อชักจูงชาวอเมริกันให้เทคะแนนเสียงแก่ตน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วโลก (รวมทั้งผมด้วย) สนใจใคร่รู้จนทำให้ต้องคอยติดตามเรื่องนี้นอกจากจะเป็นเพราะความเป็นประเทศมหาอำนาจของอเมริกาที่มีอิทธิพลต่อคนทุกทวีปในทุกแง่มุมไม่ว่าเศรษฐกิจที่กำลังเขย่าขวัญทุกคนอยู่ด้วยอิทธิพลของโลกาภิวัตน์
หรือการเมืองระหว่างประเทศที่แทบจะนับได้ว่าอเมริกามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของการเมืองภายในของทุกประเทศไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแล้ว สิ่งที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้น่าสนใจเป็นพิเศษกว่าครั้งก่อนๆคือ :   “…. เป็นครั้งแรกที่อเมริกาอาจจะได้ประธานาธิบดีผิวสี !”
อเมริกาเป็นประเทศที่เคยมีปัญหาเหยียดผิวมานาน ที่เป็นที่มาของกรณีที่ใช้ความรุนแรงจากคนผิวขาวต่อคนผิวสีมาหลายกรณี ไม่ว่าเป็นชนวนหนึ่งของการเกิดสงครามกลางเมืองในปี 1861-1865 ระหว่างฝ่ายเหนือ – นำโดย Abraham Lincoln ที่ต้องการเลิกทาส และฝ่ายใต้ – นำโดย Jefferson Davis ที่สนับสนุนการมีทาสและประโยชน์จากการค้าขายทาส
 
แม้ว่าในที่สุดฝ่ายเหนือเป็นฝ่ายชนะสงครามกลางเมือง ความโกรธแค้นของผู้ฝักฝ่ายใต้ที่เหยียดผิวก็ยังตามล้างแค้นด้วยการลอบสังหาร Abraham Lincoln ในที่สุด ! ในประวัติศาสตร์ของอเมริกายังมีเรื่องราวของการเหยียดผิวมากมายเช่นการห้ามคนผิวสีเรียนโรงเรียนเดียวกับคนผิวขาว หรือห้ามนั่งบนรถเมล์จนกว่าคนผิวขาวจะได้นั่งครบก่อน ถึงแม้ว่าเด็กๆผิวสีก็ต้องยกที่นั่งให้ผู้ใหญ่ผิวขาวภายใต้กฏเดียวกัน !
คนผิวสีถูกปฏิบัติเสมือนหนึ่งว่าเป็นสัตว์ที่บังเอิญมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ หญิงผิวสีที่ถูกข่มขืนโดยชายผิวขาวจึงต้องทนเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจไว้โดยที่ฟ้องร้องใครไม่ได้เพราะไม่มีใครสนใจ เคยมีวัยรุ่นผิวสีต้องการท้าทายอำนาจรัฐในการเข้าเรียนในโรงเรียนของพวกผิวขาวซึ่งมีคุณภาพดีกว่าตามที่รัฐจัดให้ แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการถูกรุมสกรัมจากตำรวจปราบจลาจลพร้อมกับการตั้งข้อหาก่อการจลาจล !
Ku Klux Klan หรือขบวนการ KKK  องค์กรลับของชาวผิวขาวที่เกลียดคนผิวสีเข้ากระดูกดำที่มีพฤติกรรมโหดในการทำทารุณกรรมหรือฆ่าชาวผิวสีในอเมริกาตามที่ปรากฏในข่าวนานมาแล้ว หลายเหตุการณ์ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของการเหยียดผิว
แม้หลังจากที่มีกฎหมายห้ามการเหยียดผิว ในชีวิตประจำวัน “สายตาของการเหยียดผิว” ยังคงพบเห็นได้อยู่เสมอ แต่คนผิวสีก็ "รับได้" ตราบใดที่ไม่มีการเปรยออกมาด้วยวาจา !
คนผิวสีจำนวนมากได้ยอมรับสถานะ “ชนชั้นต่ำ” ของสังคมอเมริกันที่ต้องอยู่ในสภาพเก็บกดอย่างรุนแรงมาหลายชั่วอายุคน !
Barack Obama ผู้จุดประกาย “ชนชั้นต่ำ”
Obama ตอนหนึ่งของคำปราศรัยกลางดึกของวันที่ 4 พย. หลังจากที่มั่นใจในชัยชนะแน่นอนแล้วว่า :
  “ …การเลือกตั้งครั้งนี้ได้จุดมุมมองใหม่ๆที่จะถูกจารึกไปหลายชั่วอายุคน หนึ่งในนั้นคือการที่หญิงผิวสีคนหนึ่ง แอน นิกสัน คูเปอร์ อายุ 106 ปี เธอผู้ซึ่งเกิดในยุคที่เพิ่งเลิกทาสได้เพียงรุ่นเดียว ยุคที่ไม่มีรถบนถนน ไม่มีเครื่องบินบนท้องฟ้า ยุคที่คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ออกเสียงด้วยเหตุผล 2 ประการคือ เธอเป็นผู้หญิง และ … เป็นผิวสี …
 
…คืนนี้ ผมคิดถึงสิ่งเธอต้องทนทุกข์ความปวดร้าวและความหวัง การต่อสู้และความก้าวหน้า  ผมคิดถึงยุคสมัยที่เราถูกสั่งว่าเราทำไม่ได้ แต่คืนนี้ พวกเราได้พิสูจน์แล้วว่า – ใช่ เราทำได้ !...
 
…คืนนี้ ผมคิดถึงเสียงผู้หญิงที่เคยเงียบสนิท และความหวังที่ถูกปฏิเสธ เธอมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นผู้หญิงลุกขึ้นและกู่ร้อง และยื่นมือหย่อนบัตรเลือกตั้ง เพื่อที่จะประกาศก้องว่า – ใช่ เราทำได้ !...
 
…ในยุคที่เราต้องเผชิญกับความอดอยากและวิกฤติเศรษฐกิจ The Great Depressionไปทั่วประเทศ เธอเป็นพยานเมื่อเราเอาชนะความหวาดกลัวด้วยแผนการฟื้นเศรษฐกิจ มีการสร้างงานใหม่ มีความร่วมมือจากคนทั้งประเทศเพื่อผ่านพ้นยุคลำบากด้วยกัน – ใช่ เราทำได้ !...
 
…ในยุคที่ดำมืด เธอเป็นพยานของการเอาชนะมันด้วยความสว่าง เอาชนะมันด้วยความอดทน และด้วยความอหิงสาแทนความรุนแรง ที่เธอทำเป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานของเธอเพื่อที่จะมีโอกาสเห็นวันนี้ด้วยสันติภาพ – ใช่ เราทำได้ !...
 
…อเมริกา เธอก้าวมาไกล เธอผ่านประสบการณ์มามาก แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราจะต้องทำด้วยกัน เราต้องถามตัวเองว่าเราต้องการสร้างอนาคตแบบไหนเพื่อลูกหลานของเราในศตวรรษหน้า นี่คือโอกาสที่เราจะตอบคำถามนั้น นี่คือช่วงเวลานั้นที่เราจะร่วมกันทำงานเพื่อเปิดประตูสู่โอกาสให้กับลูกหลาน  แต่ก่อนอื่นเราต้องมั่นใจในตนเองก่อนว่า – ใช่ เราทำได้ !...
 
…เมื่อใดที่เราถูกถากถาง เยาะเย้ยว่าเราจะไม่สามารถผ่านผ่านวิกฤตินี้ได้ เราจะตอบกลับไปด้วยความเชื่อมั่นว่า – ใช่ เราทำได้ !...”
 
ในที่สุดผมก็ได้พบคำตอบแล้วว่าเหตุที่ดูเหมือนกับว่า Obama เป็นที่รักของคนทั่วโลกนั้นน่าจะมาจากการจุดประกาย “คนธรรมดาสามัญ” ทั่วโลกว่า :
   “ดูซิ … เด็กน้อยที่ถูกเพื่อนๆล้อเลียนสมัยเด็กประถมว่า – Black Fat – ที่กำเนิดมาจากพ่อชาว Kenya ที่ใครๆก็รู้จักในแง่ของความล้าหลังในทวีปแอฟริกา แถมในวัยรุ่นก็ยังติดยาเสพติดอีก วันนี้กำลังก้าวสู่ทำเนียบขาว …
… ดูซิ คนผิวสีคนนี้ผู้ซึ่งครอบครัวเคยแตกแยก มีพ่อใหม่ชาวอินโดนีเซีย แถมมีชื่อกลางว่า Hussein ฟังดูเหมือนชาวมุสลิมในตะวันออกกลาง กำลังจะเดินเข้าทำเนียบขาว ที่แปลกคือ - ผู้นำผิวขาวในประเทศยุโรป หรือแม้ในประเทศตะวันออกกลางต่างก็แสดงความเห็นตอบรับพร้อมกับมีผู้กล่าวกลายๆว่า – Obama มีภาพที่นุ่มนวลกว่า Bush ซึ่งบุคลิกนุ่มนวลนี้กำลังเป็นที่ต้องการของสันติภาพของโลก …ไม่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาครั้งไหนที่คนทั่วโลกช่วยลุ้นให้กำลังใจแก่ผู้สมัครเหมือนครั้งนี้เลย เขาช่างเป็นเหมือนประธานาธิบดีของคนทั้งโลกจริงๆ !...”
ผมขับรถเข้าสำนักงาน ด้วยความรู้สึกดีกว่าวันอื่นๆเป็นพิเศษ  แม้จะไม่มีส่วนได้เสียกับการได้เป็นหรือไม่ได้เป็นประธานาธิบดีของ Obama …
รู้สึกดีที่ได้เห็นว่า … โลกนี้ยังมีที่ให้ “คนธรรมดาสามัญ” ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ความถูกต้อง ความถ่อมตัว ได้มีที่ยืน … ดีจังที่ยังมีคนที่มีอำนาจกล้าแสดงจุดยืนที่ต้องการนำให้มวลมนุษย์มีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่มั่นคงแก่คนรุ่นลูกหลานของเราด้วยหลักเหตุและผลแทนการใช้ “การวางอำนาจ”
รู้สึกดีที่มี Hero ที่ทำให้ “คนด้อยโอกาส” ทั่วโลกที่อาจกำลังคิดว่าตนเป็น “ชนชั้นต่ำ” ได้ฉุกคิดว่า :
“ที่จริง … เราเองก็มีศักยภาพ อยู่ที่กล้า – ขุด – ขึ้นมาใช้งานเป็นทีมร่วมกัน …ได้หรือไม่เท่านั้นเอง !”
Yes , we can !
 
พิชัย  อรุณพัลลภ
Department of Quality Management
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 



พิชัย  อรุณพัลลภ
                                Department of Quality Management