THE TOYOTA WAY
แปลโดย :ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
 
ตอนที่11 : หลักการข้อที่ 3 : เพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรโดยการพัฒนาบุคลากรและพันธมิตร
 

การให้ความใส่ใจต่อพันธมิตรและผู้จัดส่งวัตถุดิบ : TOYOTA
ได้รับการโหวตจากผู้จัดส่งวัตถุดิบว่าเป็นผู้นำที่ดีที่สุดในหมู่ผู้ประกอบการของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2003 ด้วยมาตรวัดถึง 17 มาตรวัด รองลงมาคือ HONDA , NISSAN , ตามมาห่างๆคือ CHRYSLER , FORD , และ GM
   
 ข้อพิสูจน์ของการโหวตครั้งนั้นที่ชัดเจนที่สุดคือ-ความร่วมมือที่ TOYOTA ได้รับจาก Supplier 63 แห่งที่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยผลิต P-valve ที่เดิมถูกสั่งซื้อมาจากโรงงานของ Aisinที่เกิดไฟไหม้จนทำให้ไม่สามารถส่งชิ้นส่วน P-valve ให้ TOYOTA
ตามกำหนดที่ 2 วันก่อนใช้งาน (ตามหลักการ Just-in-Time ห้ามส่งของมาเร็วเกินกว่า 2 วันก่อนที่จะต้องใช้งาน-ภาษาทางเทคนิคเรียกว่า Lead Time = 2 วัน) ทั้ง 63 Supplier เต็มใจเดินสายการผลิตเพื่อประกอบ P-valve ได้ตามที่ TOYOTA ต้องการใช้พอดีโดยที่ไม่ต้องปิดสายการผลิตรถยนต์แม้แต่วันเดียวเลย !
 
 แต่ความร่วมมือที่ดีเยี่ยมเช่นนั้นมิใช่ได้มาง่ายเหมือนสั่งได้เพียงชั่วข้ามคืน !
   
เหมือนกับที่เหล่า Supplier ของ TOYOTA ทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “การทำงานให้ TOYOTA พอใจนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย !”
กระนั้นแล้วก็ตาม Supplier เหล่านั้น ทำไมจึงยังยินดีทำงานให้ TOYOTA ?
หรือพวกเขาไม่มีทางไป ?
   
 เมื่อ TOYOTA เริ่มต้นผลิตรถยนต์ บริษัทฯไม่มีเงินทุนสำหรับผลิตชิ้นส่วนมากๆมากองไว้ Eiji Toyoda ในฐานะวิศวกรจากลูกต้นตระกูลจึงจำเป็นต้องหมุนเงินอย่างฉลาดเพื่อให้เงินจมน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน เขามีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องคุณภาพ Supplier ที่เขามองหาจึงต้องเป็นรายที่สามารถจัดหาหรือผลิตชิ้นส่วนที่มีคุณภาพตามที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมให้สั่งของจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่ Eiji คิดว่าทันใช้เท่านั้น ไม่มีการกองเก็บในโรงงานของเขา ในช่วงเวลานั้น Eiji ต้องลองผิดลองถูกกับ Supplier หลายราย เนื่องจากเขาพบว่า ชิ้นส่วนรถยนต์เดียวกันที่สั่งจากหลาย Supplier กลับมีราคาแตกต่างกัน แต่เพื่อความอยู่รอด เขาจึงจำเป็นต้องเข้าไปดูวิธีผลิตชิ้นส่วนของทุกโรงงาน จนทำให้พบความจริงอย่างหนึ่งว่า
วิธีของการทำงานที่ต่างกันเป็นสาเหตุของต้นทุนและคุณภาพที่ไม่เท่ากัน หลังจากนั้นEiji จึงประกาศว่า“หากโรงงานไหนยอมเปลี่ยนวิธีการผลิตให้มีความสูญเสียน้อยที่สุด มีระบบการจัดการวัตถุดิบดี มีการจัด FLOW ของการผลิตดี และได้คุณภาพดีจะได้เป็นพันธมิตรของ TOYOTA ไปตลอด” มีบางโรงงานที่ไม่เห็นประโยชน์ก็เลิกทำธุรกิจกันไป ส่วนโรงงานที่เห็นความตั้งใจจริงของ TOYOTA ก็ยอมเปลี่ยนสายการผลิตที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพ

ยุคนั้นจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “การพัฒนาพันธมิตร” นับจากวันนั้นมาจนปัจจุบัน เรื่องของ Eiji ถูกถือว่าเป็น Classic Story เวลาผู้บริหารรุ่นหลังใช้ในการหา Supplier ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกนี้ก็ตาม
ทุก Supplier ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไรก็ตาม …. หากต้องการค้าขายกับ TOYOTA …. จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่อง TOYOTA WAY เข้าไปออกแบบโรงงานใหม่ให้หมด แม้จะมีสายการผลิตของตนอยู่เดิมแล้วก็ตาม โรงงานนั้นจะต้องเปลี่ยนการวางผังของสายการผลิตให้สอดคล้องกับ TOYOTA WAY ทุกประการ TOYOTA จึงจะทำธุรกิจด้วย !
เพราะอะไรหรือ ?
เพราะ TOYOTA เรียกระบบการผลิตแบบไหลทีละชิ้นของตนว่า Lean Production ( = TOYOTA WAY ) ที่เรียกว่า Lean เพราะแปลว่า “ไร้ไขมัน” “ไร้ต้นทุนที่แฝงมากับความไม่มีประสิทธิภาพ” และต้นทุนเหล่านี้นี่เองที่ –ในที่สุดแล้วผู้ประกอบการก็จะผลักความรับผิดชอบให้แก่ผู้ซื้อ- ซึ่งก็คือ TOYOTA นั่นเอง !!!!
แล้วทำไม Supplier จึงยังอยากจะทำธุรกิจกับ TOYOTA ทั้งๆที่ทำกับคนอื่นง่ายกว่า ไม่ต้องถูกบังคับเหมือนกับ TOYOTA ?
ในตอนเริ่มต้นใหม่ๆ Eiji มีปัญหากับการที่ Supplier หลายรายถอนตัวเพราะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และไม่เชื่อในความตั้งใจจริงของเขา แต่ Eiji นั้นมีความยึดมั่นในแนวคิดของตน ใครถอนตัวก็ถอนไป เขาหารายใหม่จนได้พร้อมๆกับโน้มน้าว Supplier ใหม่ๆให้ทำตามเขาโดยเขาให้สัญญาว่าเขาจะไม่ทิ้ง Supplier ที่เชื่อฟังเขา
Eiji ใช้เวลากว่า 10 ปี จึงได้ Supplier ต่างๆอย่างที่เขาพอใจ !!!!ที่ Supplier เหล่านั้นยอมปรับประสิทธิภาพภายในของเขาทั้งๆที่เขาต้องวุ่นวายช่วงเริ่มต้นก็เพราะในยุคนั้นญี่ปุ่นยังลำบากจากการเป็นผู้แพ้สงครามโลก ความยากจนทำให้มีคนที่ต้องการตัด “ความสูญเสีย”ที่อยู่ในการผลิตแบบเก่าๆตาม “ยถากรรม” มานาน ยิ่งเห็นความเป็นไปได้ จากแนวคิดแบบ Lean ของ Eiji ว่าสามารถแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ พวกเขาจึงค่อยๆให้ความร่วมมือจนมากขึ้นๆจนกระทั่งทำให้เกิด “ความเชื่อมั่น” ที่ทรงพลานุภาพระหว่างคู่ค้า
Eiji
   
ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแม่แบบของอุตสาหกรรมทุกด้านของญี่ปุ่นจนก่อให้เกิดการเพิ่มผลผลิตของญี่ปุ่นอย่างมโหฬาร !
“Power of Synergy !”
FORD เคยพยายามทำเลียนแบบ TOYOTA !
แต่แล้วก็ล้มเหลวเพราะ Style ของ FORD จ้างผู้บริหารนอกบริษัทให้มาทำ Logistics ให้บรรลุเรื่อง Just-in-Time ที่ตนเองได้ประโยชน์จากการบริหารพื้นที่โดยผลักดัน Stock ไปที่ Supplier เพียงอย่างเดียว ส่วน Supplier เหล่านั้นก็ยังอยู่ใน “กรอบความคิดของระบบการผลิตเดิม” ที่ตนเองถนัด ที่ยังมีความไร้ประสิทธิภาพอยู่
ดังนั้น “ต้นทุน” ที่สูง และ “คุณภาพ” ที่ต่ำ จึงถูกจัดส่งไปให้ FORD ในเงื่อนไข “Just-in-Time” ตามที่กำหนด!

ต่างจาก Supply Chain ของ TOYOTA ที่เขาสามารถหล่อหลอมให้ทุกฝ่ายมอง “ผลประโยชน์ร่วม” ที่จะเกิดกับทุกฝ่ายเป็นตัวตั้งเช่น หลังจากที่มีการปรับสายการผลิตในโรงงานของผู้ผลิตชิ้นส่วนของ Supplier
แล้ว คลังรับชิ้นส่วนของ TOYOTA กับผู้จัดส่งของ Supplier วางแผนการส่งของที่จะบรรลุ Just-in-Time ไปพร้อมๆกับวิธีการขนส่งที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งของ Supplier ต่ำที่สุด
เช่น ออกแบบรถขนส่งและตู้ที่มีขนาดพอดีกับการขนส่งทีละน้อยชิ้นที่สุดแต่ได้ของพอเพียงกับการใช้งานที่พอดี และเมื่อขนส่งมาแล้ว ก็จะจัดให้มีการขนส่งวัสดุอื่นๆกลับโกดังเพื่อไม่มีวิ่งรถเปล่าที่เป็นการสูญเสียเป็นต้น
แม้กระทั่งขนาดของรถและตู้ก็ยังมีการสุมหัวคุยกันระหว่าง TOYOTA และ Supplier ว่าแบบไหนสะดวกสุด ไม่ต้องเสียค่าแรงยกซ้ำยกซ้อนที่สุด คราวก่อนไม่ดี คราวหน้าปรับปรุงอย่างไรให้ดีกว่าเดิม
เชื่อไหมว่าการสร้าง “ความเชื่อมั่น” ดังกล่าวกับคู่ค้ารายใหม่ TOYOTA เคยใช้เวลาถึง 10 ปี หากเขาเชื่อว่าคู่ค้ารายนั้น “ใช่คู่ค่าที่ TOYOTA มองหา” !
พวกเขาใช้วิธี “คุยทุกขาที่เกี่ยวข้อง” เพื่อหา Solution ที่ดีที่สุดต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีการแตกหักเหมือน FORD ที่ต่างคนมีจะมองแค่ผลประโยชน์ของตนเท่านั้น หากไม่สำเร็จเพียงครั้งเดียวก็ล้มเลิกพันธะทันที!
FORD ได้แต่ “คนรับผิดชอบ” และ “รูปแบบที่ดูคล้าย TOYOTA” แต่ไม่ได้ “Synergy” เหมือนกับที่ TOYOTA ใช้เวลานานในการเพียร “บรรจง”สร้าง !
แล้วหวังจะได้ผลอย่างเดียวกันได้อย่างไร ?

ความสำเร็จของ TOYOTA จึงอยู่ที่ “การประสานความเข้าใจ” และ “ความอดทนรอเวลาในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกัน-Trust” จนนำมาสู่สภาพ “Win-Win ของทุกฝ่าย”
 
“วุฒิภาวะ” ของ “คณะ” ต้องเกิดขึ้นก่อน ….

“ผลประโยชน์ของทั้งคณะ” จึงจะตามมา!


 

พิชัย  อรุณพัลลภ
Department of Quality Management