ตอนที่
5 |
||
BE-PROACTIVE
( ตอนที่ 2) |
||
ขอบเขตแห่งความกังวล
และ ขอบเขตแห่งความสามารถจัดการ |
||
วิธีที่จะดูว่าเราเป็นคนโปรแอกทีฟมากแค่ไหนคือการพิจารณาว่าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปที่ | ||
เรื่องอะไร ลองเริ่มต้นจากการแบ่งเรื่องราวในสมองของเราออกเป็น 2 เรื่องหลัก คือ : | ||
1- ไม่มีความกังวล | ||
2- มีความกังวล | ||
แผนภูมิจะเป็นดังรูปที่ 1 | ||
![]() |
||
หากเราแบ่งสมองส่วนที่มีความกังวลออกเป็นสองส่วนคือ : | ||
A- ส่วนที่เราปล่อยให้ถูกครอบงำด้วยความกังวล ความกลัว | ||
B- ส่วนที่เราพยายามสร้างโอกาสจัดการได้ | ||
แผนภูมิจะเป็นดังนี้ : | ||
![]() |
||
กรณีที่ 1 - ลองดูเปรียบเทียบแผนภูมิของคนที่เป็น REACTIVE ( คนที่ชอบคิดเชิงรับ ) จะเป็น | ||
เช่นนี้ : | ||
![]() |
||
คนที่อยู่ในกรณีที่ 1 จะมีแนวคิดดังนี้ : | ||
1 . เราเป็นเพียงคนเล็กๆคนหนึ่ง ไม่มีบทบาทเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก . | ||
2 . ชีวิตเราถูกลิขิตด้วยโชคชะตา เราเปลี่ยนไม่ได้หรอก . | ||
3 . ชีวิตลูกเราที่มาอยู่ในครอบครัวที่ร้าวฉาน นั่นก็เพราะชะตาลิขิต เลี้ยงรอดก็ดีถมเถแล้ว . | ||
4 . เราโชคไม่ดีที่มาอยู่กับนายที่ไม่รู้ใจ เราจะทำอะไรได้ ? . | ||
5 . ลูกน้องที่ช่วยเราคุมงาน แม้จะไม่มีคุณภาพ ก็ยังดีกว่าไม่มีคนช่วย อย่าไปสอนมากเดี๋ยวลา | ||
ออกเราจะลำบาก ได้แค่ไหนก็แค่นั้น . | ||
6 . หัวหน้าไม่ควรทำแบบนี้เลย แต่เราอยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เปลืองตัว เสียหายขึ้นมาเขารับผิดชอบ | ||
เองไม่เกี่ยวกับเรา . | ||
กรณีที่ 2 - ในขณะที่สมองของคนที่เป็น PROACTIVE ( คนที่ชอบคิดเชิงรุก ) จะเป็นเช่นนี้ : | ||
![]() |
||
1 . แม้เราจะเป็นเพียงคนเดียว หากทำสิ่งที่ถูกต้อง 10 คนก็ต้องมีผลดีกับบริษัทบ้างแหละน่าเพราะบริษัทประกอบด้วย คน ทุกคนต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทจึงจะมีประสิทธิภาพ หากทุกคนไม่คิดอย่างนี้ ตกหล่นคนละ10-20%หลายคนก็ยิ่งเสียหายมากสะสมไปใหญ่บริษัททำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพจนในที่สุดอยู่ไม่ได้ เราก็จะต้องเดือดร้อนในที่สุดอยู่ดี.. | ||
2 . ชีวิตเรา เราควรจะเป็นผู้ลิขิตจึงจะถูก เราต้องสามารถกำหนดอนาคตด้วยตนเอง สร้างอนาคตที่ดีจากมือของเราเอง เพื่อวันหน้าจะไม่มานึกเสียใจเมื่อทุกอย่างสายเกินไป . | ||
3 . เราทำให้เขาเกิดมา เราต้องรับผิดชอบโดยสร้างเงื่อนไขที่ดีที่สุดแก่เขา NO MATTER WHAT IT TAKES เช่นการประหยัดเพื่อให้เขาได้เรียนสูงๆ การเลี้ยงเขาด้วยเหตุผล การไม่เล่นพนัน การไม่สูบบุหรี่ การไม่ดื่มเหล้า เพื่อเขาจะใช้เป็นแม่แบบต่อไป . | ||
4 . ไม่มีใครสมบูรณ์ 100% แม้กระทั่งเราเอง การรู้จักนิสัยใจคอนายก็เหมือนการรู้จักนิสัยเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ หากมองเห็นจุดอ่อน เราเข้าไปเติมให้เต็มในงานที่เราต้องทำส่ง หรือเสนอความเห็นเติมเข้าไป และให้เกียรติในจุดแข็ง อย่างนี้แล้ว คนทุกคนไม่ว่าระดับไหนก็ร่วมงานกันได้อย่างราบรื่น . | ||
5 . ลูกน้องที่ช่วยคุมงานยังมีจุดอ่อน เราต้องหาวิธีอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ หากเขาไม่ยอมเข้าใจด้วยความดื้อรั้น เราอาจต้องเปลี่ยนคน เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว . | ||
6 . เราน่าจะหาวิธีเตือนหัวหน้า ( ด้วยวิธีที่ไม่ก้าวร้าว ) ปล่อยไปจะเสียหายทุกคนรวมทั้งหัวหน้าด้วย . | ||
ในกรณีที่ 1 คนที่เป็น REACTIVE มีแนวโน้มที่จะมีความกังวล ความกลัวมากกว่า ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง และไม่กล้ารับผิดชอบ เพราะคิดแต่ว่าตนเองถูกสถานการณ์ควบคุมมากกว่าที่ตนเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ( B น้อยกว่า A ) | ||
ในขณะที่กรณีที่ 2 เราจะเห็นได้ว่าสมองของคนที่เป็น PROACTIVE จะมีความสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า สร้างโอกาสให้ตนเองมีทางเลือกมากกว่า ตนเองยินดีที่จะรับผิดชอบมากกว่า มีส่วนร่วมมากกว่า ตนเองจะมีความกังวลน้อยกว่า เขาจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงเหตุการไปสู่สิ่งที่ตนวางเป้าหมายได้มากกว่า ( B มากกว่า A ) | ||
โอกาสของคนที่เป็น PROACTIVE จะประสบความสำเร็จทั้งในงานและในชีวิตมากกว่าจึงมาจากสาเหตุนี้ !! | ||
ตอนหน้าเราจะไปรู้จักกับอุปนิสัยที่ 2 กัน . เริ่มสนุกกับมันหรือยังครับ .? | ||