มูลค่าที่แท้จริงกับชีวิตที่พอเพียง

 

 

 
  เห็นขึ้นชื่อเรื่องแบบนี้ อย่าเพิ่ง
คิดว่าเราจะไปพูดถึงเรื่องมูลค่าการตลาดแต่อย่างใด แต่เรา กำลังพูดถึงมูลค่าของชีวิตของเราที่ต้องใช้จ่ายในแต่ ละวัน ในสังคมที่การแข่งขันเรื่องพัฒนาอาวุธนั้น เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาการแข่งขันทางด้าน เศรษฐกิจ สินค้า การใช้จ่ายทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ ต้องทำงานหาเงินเพื่อซื้อหาเสมอ
     
  ในสมัยก่อนนั้นเราดำเนินชีวิต
อยู่ได้ด้วยการทำไร่ ทำนา ทำสวนปลูกผักไว้ทานเอง เหลือก็ขาย เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ใช้สมุนไพร ที่หาได้ในท้องถิ่น อยากใช้อะไรก็สามารถสร้างเอง ทำเองได้ จะซื้อหา ก็ต่อเมื่อของชิ้นนั้นไม่สามารถหาซื้อได้ในท้องถิ่น ของชิ้นนั้นต้องใช้งานฝีมือกับเครื่องมือที่เราทำเองไม่ได้ นี่คือชีวิตที่พอเพียง ซึ่งนำคำถามในใจถัดมาก็ คือ แล้วทำไมผู้คนในยุคปัจจุบันถึงไม่รู้สึกว่า ชีวิตนี้ มันพอเพียง ถ้านำคำถามนี้ไปถามสัก 100 คน ก็คง ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกันสักคน แต่สำหรับผมแล้ว คำตอบก็คือ เพราะมูลค่าของเงินนั่นเอง
     
  จากเวลาที่ผ่านไป ระบบเศรษฐกิจเริ่มป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
มากจนแทบเรียกได้ว่า ครอบคลุมทุกอย่างของชีวิต ตั้งแต่อาหารไปจนถึงปัจจัยที่นอกเหนือความจำเป็นที่แท้จริง และทุกอย่างก็ซื้อได้ด้วยเงินเราจึงทำงานหาเงินเพื่อมาซื้อปัจจัยเหล่านี้ที่มากขึ้น แพงขึ้น เราก็ต้องยิ่งทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ได้เงินมากขึ้นจนกลายเป็นสังคมที่หาแต่เงิน หาแต่ผลประโยชน์ จนทุกคนดูเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัวไปทั้งหมด ทั้งที่ความจริงแล้วเราส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
     
เมื่ออยากได้อะไร เราก็หาซื้อ ได้ด้วยเงิน อยากได้บ้านหลังใหญ่ โดยที่ไม่ได้ ทันคิดว่านี่คือ สิ่งที่ไม่ จำเป็นกับชีวิต เพราะเราไม่เคยลอง ได้ลองทำเองต่างหาก เราถึงไม่รู้ว่า อะไรที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นแท้จริง หลายคนเมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็มักจะ ไปพึ่งช่างให้ช่วยซ่อม ทั้งที่แท้จริงแล้วเราก็สามารถทำได้เอง
 
     
ขอให้มีความรู้และทดลองทำ เราก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่น เราลองต่อเก้าอี้สักตัว โดยหาแบบสวย ๆ ราคาแพง ๆ เป็นหลักหมื่นหรือแสน แล้วลองทำตามดู เชื่อเถอะว่าพอทำไปได้สักพัก สิ่งที่ไม่จำเป็นของเก้าอี้ตัวนั้นจะถูกตัดออกด้วยความเหนื่อยความยาก และความรู้ว่าแท้จริงเก้าอี้ก็มีไว้ให้เรานั่ง ไม่ได้มีไว้โชว์ความสวย แต่ทำไมแค่เก้าอี้ตัวเดียวราคาถึงเหยียบหลักแสน
     
มูลค่าที่เพิ่มขึ้นเพราะวัสดุหรือค่าฝีมือช่าง เพราะสิ่งเหล่านี้เราหาและทำเองได้ แต่ราคาที่เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากราคาที่แท้จริง คือราคาของกิเลสนั่นเอง เมื่อเราคิดที่จะซื้อสินค้าไม่ใช่ดู มูลค่าและความคุ้มค่าเพียงอย่างเดียว แต่จงดูที่มูลค่าที่แท้จริงหลังจากตัดราคาของกิเลสออกไปแล้ว
 
 
จาก Post Today 27-6-06