ตอนที่ 4 |
||
ชัยชนะส่วนตน |
||
อุปนิสัยที่
1
BE-PROACTIVE |
||
![]() |
VICTOR FRANKLE เป็นชาวยิว ที่เคยถูกคุมขังในค่ายกักกันของนาซี พ่อแม่ พี่น้องของเขาเสียชีวิตในค่ายกักกัน เขาเองไม่ มีทางรู้ว่าชีวิตเขาจะจบลงเมื่อใด เขาต้องทน ทุกข์ทรมานจากทหารนาซี | |
วันหนึ่งด้วยร่างที่เปลือยเปล่าและอยู่คนเดียวในห้องมืดแคบเขาเริ่มรู้สึกถึงสิ่งหนึ่งที่ต่อมาเขา เรียกมันว่า อิสรภาพสุดท้ายของมนุษย์ ซึ่ง พวกนาซีไม่มีวันยึดเอาไปจากเขาได้ เขา สามารถตัดสินด้วยตัวเองว่าจะมีผลกระทบ อะไรกับเขาหากมีสิ่งเร้าหนึ่งต่อเขาและเขาเลือก ตอบสนองกลับไป | ||
ในสถานะของนักโทษกักกัน เขาสอนให้คนยิวอื่นๆค้นพบความหมายของความทุกข์ทรมานและ ความมีเกียรติยศของคนที่ถูกกักกัน | ||
จนแม้แต่ผู้คุมก็ยังนับถือเขา เขากลายเป็นแรงบันดาลใจของคนอื่นๆในคุก ในการมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดในวันนี้ อิสรภาพที่เขาสอนในคุกต่อมาถูก เรียกว่า FREEDOM TO CHOOSE ( อิสรภาพในการเลือก ) ซึ่ง FRANKLE พัฒนาต่อมาเป็นอุปนิสัยเบื้องต้น ของคนที่จะมีประสิทธิผลในทุก สถานการณ์ว่าเป็นคนที่ PROACTIVE | ![]() |
|
คำจำกัดความของคำว่า PROACTIVE | ||
สิ่งเร้า และ การตอบสนอง (STIMULUS AND RESPONSE) | ||
มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ตรงที่เรามีการรู้ตนเอง เรามีจินตนาการ เรามีจิตสำนึก เรามีความประสงค์อิสระ มนุษย์สามารถเขียนโปรแกรมใหม่ให้กับตัวเองได้ว่าตนจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆในรูปแบบใดแล้วจะได้ผลลัพธ์กลับมาอะไรบ้าง ผลลัพธ์เหล่านี้จะมีระดับผลกระทบทั้งที่เป็นบวกหรือลบไม่เท่ากันต่อเรา การรู้ตนเอง การจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะเกิด การใช้จิตสำนึก บวกกับการมีความประสงค์ในอนาคตของเราจะทำให้เราสามารถตัดสินใจเลือกการกระทำที่จะให้ประโยน์กับเรามากที่สุด | ||
ที่สำคัญคือระดับของการรู้ คิด สำนึก ของแต่ละคนมีเท่ากันหรือไม่ ? หากไม่เท่ากัน การตัดสินใจเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์เดียวกันของคนสองคนเหมือนกันหรือไม่ ? และนี่คือเหตุผลของการที่คนสองคนเริ่มต้นที่จุดเท่าๆกัน แต่ลงท้ายตอนแก่ต่างกันราวฟ้ากับดิน ใช่หรือไม่ ? | ||
FRANKLE แนะนำว่ามีค่านิยมอยู่ 3 แบบที่สำคัญต่อชีวิตของคน นั่นคือ ประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และทัศนคติ | ||
COVEY ยืนยันว่า ทัศนคติ นั้นสำคัญที่สุดของทั้งหมด !! | ||
เหตุการณ์ที่ยากลำบากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด เกิดกรอบอ้างอิงใหม่ที่เกิดจากมองโลกของแต่ละบุคคล การมองตัวเขาเองและการมองผู้อื่น มุมมองที่กว้างขึ้นของเขาจะสะท้อนคุณค่าทางทัศนคติที่จะช่วยยกระดับจิตใจและดลใจคนอื่นๆที่มองเราอยู่ | ||
ต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน | ||
การเป็นคน PROACTIVE นั้นต้องเป็นคนเริ่มก่อน การเริ่มก่อนไม่ใช่การกดดัน น่ากลัว หรือก้าวร้าว แต่มันหมายความถึงความตระหนักถึงความรับผิดชอบที่จะทำให้สิ่งต่างๆดีขึ้น | ||
COVEY ยกตัวอย่างกรณีจากการอบรมเรื่องการสร้างความก้าวหน้าในการงานว่าต้องมาจากการขายวิธีแก้ปัญหากับคนอื่นๆได้ ทุกคนเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่หลายคนพลาดที่จะทำให้เป็นจริงได้เพราะความคิดดังต่อไปนี้ : | ||
ผมจะศึกษาปัญหาขององค์กรเราได้อย่างไร ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยผมได้ ? | ||
ผมไม่มีวิธีเลยว่าจะนำเสนอออกมาให้ดีได้อย่างไร ? | ||
คนส่วนใหญ่ชอบรอให้บางสิ่งเกิดขึ้นมาก่อน หรือต้องรอให้นายสั่งก่อน แต่คนที่เป็น PROACTIVE จะไม่รอ เขาชอบริเริ่มทำอะไรก็ได้ที่จำเป็น ดำเนินการที่ถูกต้องเพื่อให้สำเร็จ ! | ||
กระทำหรือถูกกระทำ | ||
ความแตกต่างของคนที่ชอบริเริ่มทำและคนที่ไม่ชอบริเริ่มทำ เหมือนกับกลางคืนและกลางวัน ผลของการกระทำของคนสองชนิดนี้จะต่างกันไม่ใช่แค่ 20-25% หากแต่จะเป็น 5,000% เลยทีเดียว มันเหมือนกับการเดินถูกและการเดินผิด เหมือนสวรรค์กับนรก | ||
ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมหนึ่งในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ มันส่งผลแง่ลบกับอุตสาหกรรมนั้นอย่างมาก ในวันแรกของการประชุมกลุ่มคน REACTIVE จะพูดถึงแต่เรื่องหดหู่ว่าต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ต้องถูกปลดออกจากงานอย่างแน่นอน แต่คน PROACTIVE กลับมองว่าในสถานะการณ์นั้น มีกี่ทางเลือกที่เราจะทำได้ ทางเลือกไหนดีที่สุด และเราจะทำอย่างไรให้เป็นจริง !! | ||
ภาษาที่เราใช้เป็นอย่างไร | ||
ภาษาของคน
REACTIVE |
ภาษาของคน PROACTIVE |
|
ผมทำอะไรไม่ได้ | ผมกำลังมองหาทางเลือกอยู่ | |
ผมเป็นของผมอย่างนี้ | ผมสามารถเลือกวิธีที่แตกต่างออกไปได้ | |
เขาทำให้ผมหัวเสีย | ผมควบคุมอารมณ์ได้ไม่ว่าอะไรก็ตาม | |
พวกเขาไม่อนุญาตให้ผมทำ | ผมจะนำเสนอด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ได้ | |
ผมต้อง .... | ผมชอบที่จะ .... | |
ถ้าเพียงแต่ .... | ผมจะ .... | |
ในการสัมมนาครั้งหนึ่งของ COVEY มีคนลุกขึ้นถามเรื่องความง่อนแง่นในชีวิตแต่งงานว่าเขาและภรรยาดูเหมือนจะไม่มีความรักต่อกันอีกแล้ว ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน เขาจะนำแนวคิดเรื่อง PROACTIVE ไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะเขาไม่อยากให้ลูกมีปัญหาทางใจ COVEY ตอบว่า | ||
รักภรรยาคุณให้มาก | ||
แต่ความรู้สึกรักหายไปแล้ว | ||
รักเธอให้มาก | ||
คุณไม่เข้าใจ ไม่มีความรักแล้ว | ||
เพื่อนเอ๋ย ! หากคุณต้องการทำตามความต้องการเรื่องลูกคุณต้องมองคำว่ารักว่าเป็นคำกริยาไม่ใช่ รู้สึกรัก ผมให้คุณแสดงต่อเธออย่างที่แต่ก่อนเคยทำแม้คุณจะไม่ได้รักเธอ เช่น ฟังเธอ ยินดีกับเธอ เสียสละเข้าอกเข้าใจเธอ หากคุณมองว่าทางเลือกเหล่านี้จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายเรื่องลูก คุณจะยินดีทำไหม ?? | ||
นิยามของ ความรัก ในสังคมที่ เจริญแล้ว คือ คำกริยา ไม่ใช่ ความรู้สึก ภาพยนต์จากฮอลลีวูดทำให้เราเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว มันทำให้เราคล้อยตามได้ง่ายมากว่าเมื่อหมดความรู้สึกรักแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงผลกระทบต่อผลของอารมณ์ตอนที่เรารักเช่นการมีลูก มันทำให้เรา ละเลยความรับผิดชอบ ! คน REACTIVE จะยอมอยู่ใต้อำนาจของความไร้รับผิดชอบโดยไม่ต้านทาน ! | ||
แต่คน PROACTIVE จะเลือกนิยาม ความรัก ว่าเป็น คำกริยา เพราะตนต้องรับผิดชอบ ตนจึงต้อง กระทำในการรัก คู่ของตนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกของตน !!! คน PROACTIVE เก็บความรู้สึกไว้ใต้ค่านิยม ความรักจึงสร้างขึ้นมาใหม่ได้เสมอ ตราบใดที่เขายินดี ทำ มันอยู่ | ||
ตอนหน้าเราจะทำความรู้จักกับ
BE PROACTIVE ให้มากขึ้นครับ |
||