บุคลิกภาพ...แห่งความสำเร็จ
 
พุธที่แล้วคัดเอาสุนทรพจน์ว่าด้วยบทเรียนชีวิต 3 บท ของ สตีฟ จ๊อบส์ (Steve jobs)
  ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch มาให้อ่านกัน เป็นสุนทรพจน์ที่เลื่องชื่อลือชามาก แพร่หลายไปทั่วโลก
  ในสุนทรพจน์ของเขา สะท้อนบุคลิกภาพ ทัศนคติและวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสมควรจะได้ถอดรหัสออกมาดูกัน
 
 
   
จ๊อบส์กล่าวถึงบทเรียนชีวิต 3 ช่วง  
   
  บทเรียนที่ 1 ว่าด้วย “ การลากเส้นเชื่อมจุด ” ซึ่งหมายถึงการดึงเอาศักยภาพที่มีอยู่ในตนเองมาผสานกับประสบการณ์เพื่อค้นพบ “ ความถนัด ” ที่ยิ่งใหญ่ภายในตนเอง
   
  เขาเล่าถึงชีวิตครอบครัวที่แสนลำเค็ญ แม่กับพ่อไม่พร้อมจะยอมรับเขาเป็นลูก เพราะเขาถือกำเนิดมาในช่วงเวลาที่ทั้งสองยังเป็นเพียงนักศึกษา จึงเที่ยวหาพ่อแม่บุญธรรมเพื่อรับเลี้ยงเขาโดยมีเงื่อนไขว่าต้องส่งเขาเรียนจนจบปริญญาตรีได้
   
  ข้อดีของจ๊อบส์คือ เขาไม่ฟูมฟายกับปมหลังชีวิตมันอาจจะเจ็บปวดรวดร้าวบ้าง แต่สิ่งที่เกิด ขึ้นก่อนหน้า ความไร้เดียงสา และรู้แล้วก็จดจำติดตัวมา ไม่ได้กลายเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งพลังที่จะขับ เคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าของจ๊อบส์
 
เขาอยู่กับชีวิตปัจจุบันโดยไม่ตัดพ้อมัน ดังนั้นเมื่อเขาพบว่าเพียง 7 เดือนของการร่ำเรียนใน มหาวิทยาลัย มันก็ได้ผลาญเงินสะสมของพ่อแม่บุญธรรมจนแทบหมดเกลี้ยง เขาก็ตัดสินใจลาออก แล้วไปลงเรียนวิชาศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)
     
จ็อบส์ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นเดียวกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชา นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่อง  
 
คอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่นึกฝันมา ก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม ความสำเร็จอันใหญ่หลวงก็คืบคลานมาหาเขา
     
จ๊อบส์บอกว่า เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งชีวิตจะเป็นอะไรได้ มารู้อีกทีก็ต่อเมื่อได้ลองลากเส้นต่อจุดระหว่างจุดสำคัญๆที่เกิดขึ้นในชีวิต อันนี้คือปัญญาหยั่งรู้ของเขาที่เกิดจากการทบทวนอดีต
     
เราหลายคนในปัจจุบัน ใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย ในชีวิตมีจุดกำเนิดอะไรต่างๆมาก็มาก ต่อไม่เคยลากเส้นต่อจุดเหล่านั้นเพื่อจะเห็นเส้นทางในการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา ปัจจุบัน และก้าวต่อๆไปเลย
     
  บทเรียนที่ 2 ที่จ๊อบส์กล่าวคือ “ ความรักและการสูญเสีย ”
เมื่อมีอายุพียง 20 ปี เขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับ เพื่อนที่โรงรถของพ่อ 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คน กลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และ พนักงานมากกว่า 4,000 คน
   
แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของ เขาได้เพียงปีเดียวจ๊อบส์ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ
เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
 
     
มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาถึงขนาดที่จ๊อบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต
     
แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิดเขาจึงตัดสินใจที่จะเรื่มต้นใหม่ทั้งหมด
     
   
  5 ปี หลังจากนั้น จ๊อบส์ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence
ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลก นั้นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
   
จะเห็นได้ว่าจ๊อบส์มีพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวองมากเหลือล้น เขาสามารถลุกขึ้นเองได้ จนกระทั่งก้าวสู่ ความสำเร็จอีกครั้ง
   
   
     
ความทะเยอทะยานที่กำลังพอเหมาะพองาม บวกกับความรักในสิ่งที่เขาเคยเชื่อต่อจุดได้ จนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ทำให้เขามีความนับถือตัวเองสูงเกินกว่าที่จะปล่อยให้ชีวิตตัวเองเหลกเหลวไปกับความเศร้าและผิดหวัง เขามีพลังพอที่หวังใหม่ได้ ทำใหม่ได้ และเขาก็ทำได้จริงๆ “ คุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ ” คือบทสรุปที่งดงามมาก ในบทเรียนชีวิตบทที่ 2 ของเขา
     
ส่วนบทเรียนบทสุดท้ายของเขาคือ“ความตาย”
เมื่ออายุ 17 ปี จ๊อบส์ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิต อยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ตลอด 33 ปีที่ผ่านมา จ๊อบส์จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้า ว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำใน วันนี้หรือไม่  
 
 
 
 
 
   
และเขาเปลี่ยนคำตอบจากไม่เป็นใช่ในที่สุด ความหมายของมันคือการทำวันนี้ ให้ดีที่สุด และเมื่อคน เราทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุดเขาก็ย่อม มีความสุขและประสบความสำเร็จสูงสุดได้ใน ทุกๆวันของ ชีวิต
     
จนวันนี้แพทย์ตรวจพบมะเร็งในตับอ่อนของเขาโชคดีที่ตรวจพบแต่เนิ่นๆ เพียงผ่าตัดก็สามารถกำจัดมะเร็งออกไปได้
     
หลังรอดพ้นจากความตาย จ๊อบส์จึงกล้าบอกกับทุกคนได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ เวลาของคุณจึงมีจำกัด
และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิด ของคนอื่นและอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุด
     
คือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณ จะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร ”
 
ดิฉันอ่านสุนทรพจน์ของเขาและชื่นชมจ๊อบส์มากเขามีบุคคลิกของผู้นำและนักจัดการ เขาสามารถมองเห็นชีวิตตัวเอง ทั้สิ่งที่เป็นเครื่องถ่วงชีวิต และอะไรที่เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิต
 
เมื่อค้นพบสิ่งที่ตนรักมันทำให้จ๊อบส์ขับเคลื่อนชีวิตไปด้วยความสุขมากกว่าความบ้าระห่ำ หรือทะเยอทะยานจนสุดขั้วบวกกับทัศนคติเรื่องการทำวันนี้ให้ดีที่สุด จ๊อบส์จึงใช้ชีวิตอย่างมีสติและระมัดระวังจนกระทั่งความตายมาท้าทายเขา และเขาชนะมัน
 
 
ชัยชนะที่เขาได้รับไม่ได้ทำให้จ็อบส์ลำพองหรือโอหังต่อชีวิต เขากลับยิ่งอ่อนน้อมต่อมัน ถ่องแท้ และลากเส้นเชื่อมจุดของเขาต่อไปอย่างอิ่มเอมหัวใจ
 
 
เราควรดูจ๊อบส์เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ !!!