หนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้  มีชื่อว่า  "The Law of Success"  เป็นหนังสือที่ดร.บุญชัย  โกศลธนากุล  ได้เล่าให้ฟังว่า  เป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับสูงสุด  จนอาจจะเรียกได้ว่า  เป็นหนังสือต้นแบบของหนังสือ  Self-improvement  ในปัจจุบัน  ผู้แต่งคือ  Dr.Napoleon Hills  ท่านผู้นี้มีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ  และมีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีอเมริกาถึงสามสมัย  ได้แก่  William H. Taft, Woodrow  Wilson  และ  Franklin D. Roosevelt  ในการเขียนหนังสือเล่มนี้      ผู้แต่งใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานกว่า  20  ปี  โดยการสัมภาษณ์บุคคลที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา  เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า  บุคคลเหล่านี้มีมุมมองและแนวคิดอย่างไรที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ  ตัวอย่างบุคคลดังกล่าวคือ  Henry Ford, Harvey Firestone  และ  Thomas Edison  เป็นต้น  กฎทองคำของผู้ที่ประสบความสำเร็จดังกล่าว ได้แก่

1. อภิจิต

                        กลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน  และมีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน  คนที่จะประสบความสำเร็จได้  จะต้องมีบุคคลเหล่านี้มาร่วมชีวิตหรือร่วมงานด้วย  เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนเป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ

อภิจิต  คือ 

การสร้างอภิจิต

2. มีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน

           การมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน  จะทำให้ทุกๆ พฤติกรรมของเราทั้งการพูด  ความคิด  และการกระทำไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ  คนที่จะมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนได้  จะต้องรู้ว่าตนเองมีความชอบมีความถนัดในงานประเภทใดบ้างและอยากจะเป็นอะไรในอนาคต ดังนั้น        

           เมื่อมีเป้าหมายแล้ว  ให้สร้างเป็นมโนภาพภายในจิตใจ                                    

คนเดียวหรือบอกเฉพาะคนที่เข้าใจเราจริงๆ  เช่น  สามีภรรยา  หรือเพื่อนสนิทเท่านั้น  เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความลังเลสงสัย  ดูถูกดูแคลน  และอิจฉาริษยาอยู่ตลอดเวลา  น้อยคนนักที่จะเชื่อและช่วยเสนอแนวทางให้ไปถึงซึ่งเป้าหมายนั้น  นอกจากนั้น  สิ่งสำคัญที่สุดคือ                                                                                   ถึงแม้ว่าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจสักเพียงไหน  และจะต้องใช้เวลานานสักเพียงใด  เราต้องทำได้เพราะ 

           ความมั่นใจ  เกิดจากการรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุม  ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน  ผู้แต่งได้เสนอวิธีการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองคือ

3. มีความเชื่อมั่นในตัวเอง

                                                                                           ทราบถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ  และปัจจัยแห่งความล้มเหลวในงานเป็นอย่างดี

                                                                            โดยไม่หวังผลตอบแทน  หรือคำสรรเสริญเยินยอใดๆ  ทุกการกระทำ  และคำพูดจะต้องออกมาจากจิตใจที่ใฝ่ดี  ใฝ่คุณธรรม  จิตใจที่ทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง  ปากกับใจต้องตรงกัน

                                                                                                                                                      ตัวเราไม่ใช่เทวดา  หรือยอดมนุษย์ที่เก่งฉกาจ  ทำสิ่งผิดพลาดไม่เป็น  การคิดว่าตนเองดีพร้อม  จะทำให้กิริยาและคำพูดของเราดูถูกดูแคลนผู้อื่น  มองคนอื่นเป็นคนไม่ดี  หรือคนไม่ฉลาด  เป็นต้น  และเมื่อเราทำผิดพลาดเองบ้าง  เราก็จะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้  โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา  จิตใจเศร้าหมอง  หมดความมั่นใจไปโดยสิ้นเชิง

(4) มีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

4. มีนิสัยประหยัดอดออม

                                                                                               การประหยัดอดออมจะทำให้เรารู้คุณค่าของเงิน  ดังนั้น  เมื่อจะลงทุนทำสิ่งใดจะต้องไม่ผลีผลาม  และลงทุนตามความเหมาะสม  โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีน้อย  จึงทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นนัก  นอกจากนั้น  เมื่อเรามีนิสัยประหยัดอดออม  ลูกน้องก็จะทำตาม  ไม่กล้าใช้จ่ายเงินขององค์กรอย่างสุรุ่ยสุร่าย  เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้เป็นอย่างดี

5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

           คนที่จะประสบความสำเร็จได้  จะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนรอบข้าง  แต่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้  หากเราไม่เลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง  เพราะเมื่อเริ่มคิดสิ่งใหม่   งานเก่าๆ  ก็ยังทำไม่เสร็จ  ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด  ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ก็ไม่เกิดขึ้น  

 

และที่สำคัญที่สุดคือ  เราจะต้องหมั่นคิดถึงเรื่องนั้นๆ  ตลอดเวลาทุกแง่ทุกมุม  และความคิดเป็นภาพ  เพื่อให้ความคิดตกตะกอนจนเกิดเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ในที่สุด

6. มีจินตนาการ

          จินตนาการ  ต่างกับการฝันกลางวัน ตรงที่ว่า 

7. มีความกระตือรือร้น

           คนที่มีความกระตือรือร้น จะสามารถดึงดูดคนรอบข้างที่มีความสามารถเข้ามาร่วมทีมได้โดยง่าย                                                                                                                                                  การสร้างความกระตือรือร้นสามารถทำได้โดยการมี                                                     อย่างไรก็ตาม  หากเราไม่มีความชอบในงานนั้นๆเท่าไรนัก  ให้คิดเสียว่าสิ่งนี้จะเป็นบันไดขั้นหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายสูงสุดในชีวิตได้                                                                                                                                     นอกจากนั้น 

8. สามารถควบคุมตนเองได้

         การควบคุมตนเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 

 

เพราะมนุษย์มักจะจดจำพฤติกรรมที่ไม่ดีได้แม่นยำกว่าพฤติกรรมที่ดี  ฉะนั้น  เราควรหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับผู้อื่นไม่ว่าเหตุผลใดๆ  ก็ตาม  หรือแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตามที  เพราะเวลาทะเลาะกันไม่มีใครยอมฟังเหตุผลแน่นอน  จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะมาเอาชนะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ฉะนั้น  วิธีการควบคุมอารมณ์ที่ผู้แต่งแนะนำคือ 

9. มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน

เราจึงต้องหัด

สังเกตอารมณ์ของตัวเองว่า  เราทำสิ่งใดแล้วมีความสุข

เราเก่งในด้านใดบ้าง

เป้าหมายที่ดีควรจะเป็นเป้าหมายที่ทำเพื่อผู้อื่น  เพื่อสังคมหรือเพื่อประเทศชาติ 

การมีเป้าหมายเช่นนี้จะทำให้จิตใจของเรา เปิดกว้าง มีพลัง  สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย

เป็นต้น นอกจากนั้น

และเขียนติดไว้ในห้องนอน 

อ่านทบทวนทุกวัน  เพื่อสื่อกับจิตใต้สำนึกของเราเอง

ทั้งปวง

เราจะต้องไม่ยอมแพ้กับความยากลำบาก

"ท่านทำได้ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้"

(1) มีความเชี่ยวชาญในการทำงานที่ตนกำลังกระทำ

(3) ต้องตระหนักเสมอว่า  ตัวเราเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำผิดพลาดได้ตลอดเวลา

(2) ทำงานตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

 ฉะนั้น  เราต้องสร้างนิสัยที่ดีโดยการลงมือทำงานต่างๆ  ที่คั่งค้างเสียตั้งแต่วันนี้  นอกจากนั้น  เราควรสังเกตว่าความคิดที่ดีและสร้างสรรค์มักผุดขึ้นมาตอนไหน  และเราควรมีสมุดเล่มเล็กๆ  ติดตัวตลอดเวลา  ไว้จดบันทึกความคิดดังกล่าว

เพราะบุคลิกที่ดูมีชีวิตชีวา  หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสใครๆ ก็อยากเข้าใกล้คบหาสมาคมด้วย 

ความรักในงานที่กำลังทำ

เมื่อเห็นคุณค่าของสิ่งที่กำลังทำ  จะทำให้เรามีความกระตือรืนร้นไปโดยปริยาย

การลืมอดีตและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด  ก็เป็นวิธีสร้างความกระตือรือร้นได้อีกทาง

หนึ่งเช่นกัน

การควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะการระเบิดอารมณ์ใส่ผู้อื่นเป็นการทำลายชื่อเสียงของตนเอง  ทำให้เสียโอกาสต่างๆ  ในชีวิต  และตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย

การมีนิสัยทำงานเกินเงินเดือนจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก 

อยากทำให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ  รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำงานนั้นๆ 

ปรัชญาชีวิตศาสตร์แห่งความสำเร็จ

                                   คือ  การเลือกคบคนที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา  ได้แก่  สามีภรรยา  เพื่อนสนิท  และเพื่อนร่วมงาน  เป็นต้น  คนเหล่านั้นจะต้องมีจิตใจที่ดี  มีคุณธรรมที่สูงหรือเท่าๆ กับเรา  มีความเข้มแข็ง  มีความเอื้ออาทร  จริงใจ  เต็มใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราอย่างแท้จริง  มีความสามารถ  และที่สำคัญคือ  อยู่ใกล้แล้วมีความสุขและมีความสงบในจิตใจ  ส่วนผู้ร่วมงานควรเลือกคนดีมีความสามารถ  มีความขยันขันแข็ง  หนักงาน  ไม่คิดเล็กคิดน้อย  ใจกว้าง  และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม  นอกจากนั้น  ที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง  จะต้องสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรอบข้างได้  เพื่อให้

        คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น  จะต้องมีความรักในงานที่ทำ  ไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม 

                                      เพราะรู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นบันไดที่นำจะพาเราไปสู่เป้าหมายในชีวิต  รู้สึกว่าตนเองมีค่าต่อองค์กร  และอยากให้องค์กรมีความเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ  

 

เพราะเมื่อเราตั้งใจทำงานชิ้นหนึ่งจนประสบความสำเร็จจะเกิดความมั่นใจ  และมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ดีต่อไป  ความสำเร็จก็ย่อมตามมาอย่างไม่ขาดสาย  ถึงแม้ว่าจะเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ย่อท้อ  เพราะเป็นงานที่เรารัก  และมองปัญหาว่าเป็นส่วนที่จะทำให้งานออกมาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น 

ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเป้าหมายให้เกิดเป็นรูปธรรม

หรือเมื่อเจอคนในอาชีพใดแล้วเรารู้สึก

ประทับใจ  ส่วนความถนัดนั้น  สามารถสังเกตได้จากคำชมจากคนรอบข้างว่า

และเป้าหมายดังกล่าวเราควรเก็บไว้ในใจ

 "รู้น้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน"

คนที่ปรารถนาจะประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักประหยัดอดออมดั่งคำโบราณที่ว่า

จินตนาการจะทำให้ชีวิตวันหนึ่งๆ ของเราผ่านไปอย่างมีคุณค่า  มีความหมาย  เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น  เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำวันนี้เพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า

เมื่อเรามีเป้าหมายที่ ชัดเจนและแน่นอนก่อน 

จินตนาการเป็นการจดจ่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตลอดเวลา 

กอปรกับความเชื่อมั่นว่าเราต้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้  เมื่อมีเป้าหมายแล้ว  ให้ใช้จินตนาการสร้างเป็นมโนภาพและน้อมจิตถามตัวเองว่า  เราจะทำเป้าหมายให้เป็นจริงได้อย่างไร

แต่การฝันกลางวันคือ การคิดหลายร้อยเรื่อง 

ในเวลาเดียว อย่างไรก็ตาม

                   (1) เตรียมจิตใจให้เข้มแข็งสามารถรับได้ทุกสภาวะ  ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย
                   (2) มองถึงผลที่จะตามมา  หากเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้  เช่น  หากเราทะเลาะกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน  เราจะทำงานต่อไปลำบาก  เราจะไม่สามารถสานความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้
                   (3) มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
                   (4) มีความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
                   (5) อดทนอดกลั้น  หรือใช้วิธีสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หลายๆ ครั้ง  เพื่อสงบสติอารมณ์

จินตนาการจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อ