ในหลายๆด้าน !
ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าประเทศเรายังขาด
"ปรัชญา"อยู่หลายอย่าง....หรือที่มีอยู่ก็อาจจะไม่สอดคล้องและไม่ตอบรับกับ
"การแข่งขันของโลกปัจจุบัน"
"ปรัชญา" ที่ 3 ประเทศเอเชียนั้นมี
ทำให้เขาเจริญทางด้านกีฬาเท่านั้นหรือ ? ด้าน "เศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง"หละ ?
ผมชอบเล่นกีฬา ชอบดูกีฬา
และชอบเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆจากการดูกีฬา เช่นว่า :
อืมม.....เขาก็เจริญกว่าเราอย่างเห็นได้ชัด !
"ปรัชญา"อะไรหรือที่ทำให้ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี "แตกต่าง"
จากประเทศเอเชียอื่นๆ ?ทำให้เขาสามารถไปแข่งขันกับประเทศยุโรปหรือ
อเมริกาได้อย่างสมศักดิ์ศรี จนได้รับการยอมรับในระดับโลกว่า "เก่ง"
ในกีฬาหลายประเภทเช่น วอลเลย์บอล ฟุตบอล ว่ายน้ำ ปิงปอง
แบดมินตัน
?
ทำไมกีฬาระดับนานาชาติจึงไม่มีชื่อ "นักกีฬาไทย" อยู่เลย ?
หรือหากจะมีก็น้อยมากๆจนไม่น่านับว่า "มี"?
ที่มีอยู่นั้นก็อยู่อันดับที่เท่าไหร่คนมักจะจำไม่ได้
ทำอย่างไร "ไทย" เราจึงจะเก่งในกีฬาที่เล่นเป็น "ทีม" เหมือนที่ ญี่ปุ่น เกาหลี
เก่งในฟุตบอล ที่ไปถึงระดับ "ฟุตบอลโลก"?
นำแนวคิดอย่างนักกีฬาปรับใช้เพื่อการทำงาน
คนที่ประสบความสำเร็จในโลกทุกคนล้วนเป็นคนที่กล้า "สัญญากับตนเอง" ทั้งสิ้น
ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่กล้าสัญญากับตนเอง เพราะกลัวว่า
"หากทำไม่สำเร็จ....จะผิดคำพูด" นั้น
ในที่สุดมักจะเป็น
" "
บ่อยครั้งที่เราจะเห็นนักกีฬาพูดกับตัวเอง
การเตือนสติตนเองอยู่เสมอถึงเป้าหมายที่เราวางไว้และต้องการ"บรรลุ- "เป็นสิ่งจำเป็น ผมเคยเห็น
สร้างวิสัยทัศน์ไว้ในใจ
คุณสุรชัย
พงเพ็งเจ้าของคอลัมน์ได้ยก
"ปรัชญา"ที่เหล่าประเทศผู้นำทางกีฬาได้รวบรวมไว้ว่าสามารถดัดแปลงมาใช้กับการทำงานซึ่งมุ่งเน้นประสิทธิภาพเพื่อการทำกำไรอย่างน่าสนใจดังนี้
:
เมื่ออ่านพบคอลัมน์ชื่อข้างต้นนี้จึงเหมือนถูกสะกิดให้ต้องตัดเก็บไว้ให้ลูกๆได้อ่าน
เพราะผมไม่อยากให้ลูกอยู่ท้ายแถวของสังคมโลก !
มองในแง่ดี
หากเราต้องการเจริญเหมือนเขาบ้าง เรามีทางลัดคือเราต้องศึกษา "ปรัชญา" ของ 3
ประเทศนั้นว่าเขา "คิดอย่างไร"
"ทำอย่างไรเขาจึงแปลงสิ่งที่คิดไปสู่ความเป็นจริงได้ขนาดนี้ !"
นักกีฬาย่อมต้องการชัยชนะทุกคน
ไม่มีใครอยากเป็น "Loser" แต่จะมีคนที่
" "
:คนที่สามารถวางเป้าหมายในการทำงานชัดเจนที่สุดว่า "ความสำเร็จ"
จากการทำงานคืออะไร วัดด้วยตัววัดเช่น-คุณภาพ และปริมาณ
ความพึงพอใจของลูกค้า (รวมเพื่อนร่วมงาน)
และวิธีการทำงานนี้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั้นต้องทำอย่างไร
และทำด้วยความ
" " เพื่อเป็นผู้ชนะ !
และ"
"เท่านั้นที่จะชนะ ที่แปลกคือคนกลุ่มนี้มักจะเป็น "คนกลุ่มน้อย"
อยากมากที่สุด
เตรียมตัวมาอย่างดีที่สุด
การปรับใช้กับการทำงาน
อยากมากที่สุด
Loser
จดจำสิ่งที่พูดกับตัวเอง
Champion Tennis French Open
2006
Henin-Hardenne
Achieve
ซึ่งเป็น หยิบกระดาษโน็ตขึ้นมาอ่านแผนการเล่นในระหว่างพักในแต่ละเกมส์อยู่บ่อยๆเพื่อเตือนตนเองให้อยู่ใน ที่วางไว้
เพราะมันคือแนวทางที่ตนคิดว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดก่อนเข้าแข่ง
เพื่อตนจะไม่ถูกอารมณ์ ถูกความเหนื่อยล้ามาดึงให้ตนเฉไฉออกนอกลู่นอกทาง
Track
ไม่มีอะไรการันตีว่าทำตามนี้แล้วจะชนะ 100%
แต่วิธีนี้ให้โอกาสสูงที่สุด ! ....ก็แค่นั้นเอง !!!
:ทุกวันก่อนการทำงาน ลองนึกทบทวนเป้าหมายที่เราต้องการบรรลุ
แล้วคิดถึงแผนการทำงานที่เราคิดไว้
ทบทวนดูว่าเมื่อวานนี้เราได้ทำตามที่เคยคิดไว้หรือไม่
มีส่วนใดตกหล่นไม่ได้ทำบ้าง
เช่นเราเคยวางแผนว่าเดือนนี้จะสอนโฟร์แมนให้มีความตระหนักเรื่องคุณภาพ 6
เรื่อง ผ่านไปแล้วครึ่งเดือนเราทำได้แค่ 2 เรื่อง
เราจะปรับแผนอย่างไรให้เสร็จทัน
หรือที่ผ่านมาพบว่าการอบรมที่มีประสิทธิผลจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าที่คิด
ก็ต้องปรับแผนใหม่ เป็นต้น
การปรับใช้กับการทำงาน
Roger Federer
เวลาตีเสียจะไม่เคยทำท่าฮึดฮัดหรือ ฟาดไม้เหมือนนักเทนนิสอื่นๆ
ตรงกันข้าม เขากลับทำหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไร แน่นอน
ผู้ชมทุกคนคงสังเกตออกว่าในสมองเขาคงกำลังใช้สมาธิในการแก้เกมส์
ซึ่งหลายครั้งที่เขาอยู่ในตาจนถูกต้อนเข้า Match Point
แต่ด้วยสมาธิที่ดีเลิศ
เขาสามารถดิ้นหลุดและพลิกสถานการณ์มาเป็นผู้ชนะได้อยู่บ่อยๆ
:การทำงานเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตท่ามกลางอีกหลายๆกิจกรรม
แต่ประสิทธิภาพของการทำงานจะส่งผลให้ศักยภาพในหน้าที่อื่นๆของเราสูงขึ้นได้
ดังนั้นการฝึกฝนให้เรามี "ทักษะ" ที่จำเป็นในการทำงานจึงน่าจะคุ้มค่า
เช่นหากเรามีทักษะในการทนต่ออารมณ์แปรปรวนของตนเองหรือของคนอื่นได้เก่ง
จะทำให้เรา "นิ่ง มีสติ" หากเราทนต่อความยากลำบากในการทำงานที่ยากๆ
จะทำให้เราผลักดันงานที่มีคุณภาพดีกว่าคนอื่น
หากเรามีทักษะในการเป็นผู้ฟังที่ดี
เราจะได้ความเห็นดีๆจากคนรอบข้าง
หากเรามีทักษะในการพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ เราจะได้เพื่อนมากกว่าศัตรู
แม้กระทั่งการมีทักษะในการกล่าว "ขอโทษครับ ผมผิดเอง"
"ที่คุณพูดมาก็น่าสนใจนะ
แต่ถ้าจะเป็นอย่างนี้...คุณคิดว่าพอจะเป็นไปได้ไหมครับ ?" "เรียนทุกท่าน"
"ขอบคุณครับ" "คุณทำงานดีมากเลย"ให้ติดเป็นนิสัย
การฝึกฝนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักกีฬา ( ต่อให้เป็น
Beckham ก็ไม่มีสิทธิ์อ้างว่าไม่ว่างเวลา Sir Alex
Furguson เรียกซ้อม ) การมีวินัยอย่างเสมอต้น
เสมอปลายในการซ้อมไม่ว่าจะเป็นกายบริหารท่าแปลกๆ
บางท่าดูยึกยักชักกะตุก ดูแปลกพิกล
แต่นั่นแหละจะทำให้นักกีฬาเกิดทักษะแบบซึมเข้าในจิตใต้สำนึกกลายเป็น
"สัญชาติญาณ" และจะทำให้เวลาแข่งจริง
เขาจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ
:คงมีบ่อยครั้งที่เราถูกกดดัน
บางคนตอบสนองโดยการตีโพยตีพาย บางคนรู้สึกเสียหน้าจึงรีบโต้กลับ
ไม่ว่ารูปแบบใดล้วนแล้วแต่พาให้เจ้าตัวตกต่ำลงทั้งสิ้น !
ในสถานการณ์เช่นนั้น การนิ่งเงียบและคิดด้วยสติปัญญา ด้วยใจว่าง
อย่างไรเสียก็ยังดีกว่า 2 วิธีแรก ! ที่สำคัญ
หากบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะนิ่งเงียบหรือคิดนานหน่อย
ก็ยังดูน่ารักน่าเอ็นดู !
เวลามีสติ สมองจะฉลาดกว่า !!!
มีสมาธิ
การปรับใช้กับการทำงาน
"เป้าหมาย" "วิธีการ" "ทักษะ" หรือไม่
!
ฝึกฝนให้เป็นนิสัย
ถือความผิดพลาดเป็นบทเรียน
ลองนึกถึงความได้เปรียบจาก "ทักษะ"
ที่ดึงดูดความร่วมมือเหล่านี้ ! คุณจะตีราคา "ทักษะ" เหล่านี้เท่าไหร่ดีหละ
?
ที่สำคัญ....
ที่สำคัญ
การปรับใช้กับการทำงาน
การปรับใช้กับการทำงาน
ดูๆเกมส์กีฬากับเกมส์ในการทำงานน่าจะใช้เลียนกันไปมาได้
ใครจะเป็นผู้ชนะ ก็ต้องถามว่า ใครคนนั้นมี
ให้อภัยคนอื่นหรือ
ยอมรับผิดแทนคนอื่นในบางโอกาสก็น่ารักดีนะครับ !
:การทำงานย่อมมีการพลาดท่าบ้าง
บางครั้งตัดสินใจผิดพลาด ต้องรีบหาสาเหตุ
หาข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าเชื่อถือ
บางครั้งเราเชื่อสิ่งที่คนสนิทพูดแต่แท้จริงแล้วสิ่งนั้นเป็นเท็จ
ในขณะที่คนที่ดูไม่สนิทเท่าอาจพูดสิ่งที่ถูกต้องกว่า
คนพูดน้อยกว่าอาจจริงใจมากกว่าคนที่พูดมากกว่า
บางครั้งเราเองถูกหลอกจากความมั่นใจตนเองเกินไป
บางครั้งเราเองขยันน้อยไปหน่อย ทำให้สะดุดขาตัวเอง (เหมือน
Unforced Error -ปัจจัยจากตัวเองล้วนๆ)
แต่เมื่อใดที่รู้ตัวแล้วต้องรีบยอมรับอย่างมีน้ำใจนักกีฬา
อย่าโทษคนอื่นหากเราเป็นคนผิด และถ้าอยากให้คนรักเรา
เวลานักฟุตบอลทำเสียบอล
หน้าที่เดียวคือต้องเอาบอลคืนมาให้ได้ หรือ เมื่อเสียประตูไป
ก็ต้องหาจุดอ่อนของตน แล้วแก้ไข
สร้างจุดแข็งขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ นี่คือเกมส์กีฬาขนานแท้ !
ต้องเล่นด้วยความสุขครับ !