บทวิเคราะห์จากเรื่อง
FISH : ตลาดปลากระฉ่อนโลก
Pike Place Market หรือ Public Market เป็นตลาดที่มีอยู่จริงในเมือง Seattle รัฐ
Washington, USA.ซึ่งเป็นเมืองที่ผมเคยไปเรียนหนังสือเมื่อ 16
ปีก่อนและได้เคยไปยืนเล่นหลังเลิกงาน (ที่แอบทำ) เพื่อรอเวลารถเมล์เพื่อกลับที่พัก
(รถเมล์ในเมืองนี้ต้องมาตรงตามเวลาที่แต่ละป้าย
บางครั้งมาที่ป้ายช้าไปแค่นาทีเดียว ทำให้ต้องรอคันถัดไปที่กว่าจะมาก็อีก 30 นาที
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวอเมริกัน
"ตรงต่อเวลามากๆ") ช่วงที่รอ ผมชอบไปยืนดูคนขายปลาในตลาด Pike Place
โยนปลาข้ามหัวกลุ่มคนมุงดูอย่างสนุกสนาน
ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่านี่เขากำลังขายปลาหรือกำลังแสดงโชว์กันแน่ ! เท่าที่สังเกต
ทุกคนที่มุงดูต่างสนุกสนานไปกับบรรยากาศที่คนขายสร้างขึ้นมา
บ่อยครั้งคนดูที่เป็นนักท่องเที่ยวก็ "ซื้อเพราะเกิดอารมณ์อยากสนุก
อยากเห็นการโยนปลาอีก !" เพื่อส่งไปฝากเพื่อนฝูงเหมือน "ของฝากที่ระลึก"
เพราะการห่อของเขานั้น "พิเศษ" จริงๆคือมี Logo "Pike Place Market" เด่นชัด
สวยงาม ดูดีมาก ที่สำคัญคือเขามีบริการส่งแบบแช่เย็นข้ามรัฐเพื่อให้
"ปลาสดอยู่เสมอ" ผลคือ ผู้ซื้อได้รับความสนุกเวลาซื้อ
ผู้รับปลายทางได้ความพอใจที่ได้รับปลาจาก "Pike Place Market" สดๆ
และเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ขาย........ขายปลาดีมากๆๆ !
Pike Place Market ก่อตั้งขึ้นในปี 1907 (100 ปีก่อน)
ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก ขนาดที่ราคาหัวหอมใหญ่แพงขึ้น 10 เท่า
คนเดือดร้อนกันมาก นายกเทศมนตรีของ Seattle ในขณะนั้นคือ Thomas Revelle
จึงมีความคิดริเริ่มขึ้นมาว่าควรจะตั้งตลาดเพื่อให้เกษตรกรและชาวประมงนำผลิตผลมาขายผู้บริโภคโดยตรง
พร้อมทั้งกล่าวอย่างมั่นใจว่าตลาดนี้จะนำประโยชน์มหาศาลแก่ลูกหลานของเมืองนี้
"อย่างมหาศาลในอนาคต" เมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของ Thomas
Revelle เลย เพราะว่าตลาดแห่งนี้ได้สร้าง
รายได้ยิ่งกว่า
"มหาศาล"แถมมีชื่อเสียงกระฉ่อนโลก
ที่กลายเป็นสถานที่แหล่งท่องเที่ยวของคนทั่วโลกถึงปีละ 10 ล้านคน !!
รายได้หลักของเมือง Seattle ปัจจุบันนี้ นอกจากจะมาจากจากนักท่องเที่ยวที่มาดู
"โชว์การโยนปลา"แล้ว
ยังมาจากการใช้จ่ายค่าโรงแรม อาหาร
สินค้าท้องถิ่นต่างๆจากนักท่องเที่ยว จนทำให้เศรษฐกิจของ Seattle
ดีอยู่ในอันดับ TOP 10 ของอเมริกาทีเดียว !
Pike Place Market ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์อย่างเช่น Sleepless in Seattle
ที่แสดงโดย Tom Hank และ Meg Ryan

Pike
Place Market ยังเป็นบ้านเกิดของร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbuck อีกด้วย !
ความสำเร็จของตลาดปลาอยู่ที่ไหน
?
หลายคนบอกว่าความสำเร็จของตลาดปลาอยู่ที่แผงปลาต่างๆในตลาดมีวิธีดึงดูดผู้คนให้สนุกกับการเล่นโยนปลาของผู้ขาย
และเมื่อมีร้านปลาร้านแรกที่มีความคิดริเริ่มที่สุดในสมัยนั้นที่เริ่มต้นด้วยการสร้างจำนวนคนมุงได้เป็น
10 คนแล้ว การเพิ่มจำนวนคนมุงเป็นหลายพันคน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก !
เพราะเทศมนตรีเมือง Seattle กำหนดแผงปลาทุกแผงต้อง "โยนปลาแบบเดียวกัน"ทุกๆร้าน
!
เลยทำให้ตลาดปลากลายเป็น "ปาหี่" ที่ใหญ่ที่สุดในโลก !
ในขณะเดียวกัน
ผู้บริหาร Pike Place Market
ก็ยังตั้งบริษัทเพื่อรับจัดอบรมแก่บริษัทในอเมริกาในเรื่องการสร้าง Teamwork
ซึ่งได้รับความนิยมจากบริษัทใหญ่ๆอย่างมาก เช่น Boing , Marriott Hotel , Hallmark
Cards ,Singapore-Ministry of Manpower , Xerox Corporation , etc !
ผมว่าการแค่เห็นความสำเร็จของตลาดปลาและสนุกกับมันเป็นเรื่องที่
"ผิวเผินเกินไป" !
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ
:
"เขาใช้
จิตวิญาณชนิดไหน
ในการ
"คิด"ตอนริเริ่ม ?"
"คนของเขา
มีทัศนคติชนิดไหนที่ยอมลองผิดลองถูกตามที่ผู้นำคิด
รู้ได้อย่างไรว่า
"หากทำ-บ้าๆบอๆ"อย่างนี้แล้วจะได้ผล
ทำให้ขายของได้ โด่งดังได้ ?"
"ก่อนพบวิธีโยนปลา
เขาเคยลองวิธีอื่นๆมากี่วิธีที่ --
ล้มเหลว
--หรือเปล่า
?"
"ตอนแรกเริ่มนั้น
-เขาหวังจะให้
"ดัง"-
หรือไม่
?"
-การขายปลา--
ซึ่งปกติแล้ว
ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ
กลับกลายเป็น
แม่เหล็ก
ของเมืองได้
?"
ทำไมเขาถึงสามารถทำให้
"หากเขาคิดแบบคนเอเซียตั้งแต่แรกเริ่ม
ใช้เวลา 100 ปีเหมือนกัน วันนี้ตลาดปลาจะเป็นอย่างไร ?"
"ในอดีตที่ยังไม่โด่งดัง
เขาทำอย่างไรที่ทำให้คนขายปลาทุกคน-รัก-ในงานที่แสนจะธรรมดา(และไม่น่าจะมีหน้ามีตาอะไรในการบอกเพื่อนฝูงว่าทำมาหากินอะไร)
จนกระทั่งเห็นผลอย่างวันนี้ ?"
"หาก
-ฝรั่ง--เป็นคนคนใจร้อน
อย่างที่เราเคยเข้าใจ
แล้วทำไมเขาจึงอดทนทำงาน
-ธรรมดาๆ-อย่างสนุกสนานได้
ในขณะที่
-คนไทย-ที่เป็นคนใจเย็น
อย่างที่เราเข้าใจ
บางคน
จึงมักจะไม่พอใจกับงานรอบตัวได้ง่ายๆ ??"
"หรือว่า
ความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นมาจาก-การทำใจให้รักในสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด
(
แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ชอบที่สุดที่อยากทำและไม่ได้หวังที่จะดัง)
-โดยหวังเพียงแต่ว่า
ขอให้ตนเองทำงานที่เลือกไม่ได้นี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้ตนเองผ่านเวลานี้ไปได้ให้มีความสุขที่สุด
ตนเองจะได้ประโยชน์ก่อนแน่นอน
และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรที่ทำด้วย
ทำให้
ผลงาน
(ที่ตนไม่ได้รักแต่แรก)เกิด
ประสิทธิภาพ
ขึ้นมามากๆๆๆจนส่งผลตอบแทน
ในรูปเงินทองแก่ตนเอง
จน
งานนั้นกลายเป็นงานที่ตนเอง
"รัก"
"ทุกคนในองค์กร-เล่น-ไปสู่เป้าหมายร่วมกันอย่างกลมเกลียว
มีความอบอุ่นในที่ทำงาน"และยิ่ง มีเรื่องของ "ความดัง" แล้ว ก็เลย "ยิ่งรักขึ้นไปๆ"
??
และรักมากขึ้นเมื่อ
"หรือว่า-คำพูดของ
Donald Trump (มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก) ที่พูดว่า
"คนที่ได้ทำสิ่งที่ตนรัก
ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคน
ในขณะที่คนที่ทำในสิ่งที่ตนไม่ได้รักแล้วประสบความสำเร็จก็มีมาก-จะเป็นกุญแจของทุกคนที่อยากจะสำเร็จด้วยวิธีการมองโลกตามที่มัน
"เป็นจริง"
มากกว่าวิธีของ
"การสร้างวิมานในอากาศ"
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อนาคตก็จะดีตาม ? , การทำงานด้วย-จิตว่างและอยู่กับปัจจุบัน ? ,
จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำประโยชน์มาให้ ? )
?"(วิถึพุทธ
:
เหล่านี้เป็นคำถามในหัวในระหว่างที่ดูเหล่า
Artist
ในตลาดปลาแสดงให้ดูเพื่อฆ่าเวลา.......นั่น.......ใกล้เวลารถเมล์จะมาแล้ว
................ผมต้องไปแล้วครับ !