TQM-episode -9 |
![]() |
|
![]() |
Chief Executive Officer Managing Policy |
หลังจากผ่านไป 4 งานแรกไปแล้ว CEO ก็ต้องทำงานที่ 5 จากทั้งหมด 11 งานในการผลักดันนโยบายซึ่งประกอบด้วย : |
2.5 -การพัฒนาบุคลากร |
![]() |
2.6 -การทำการควบคุมคุณภาพ |
2.7 -การวิเคราะห์ตรวจสอบว่าระบบทำงานของทุกฝ่ายอยู่ในกรอบที่รองรับงานคุณภาพ |
2.8 -การสร้างคู่มือเพื่อการควบคุม การตรวจสอบ กฎเกณฑ์ในการทำงาน มาตรฐานของสินค้าและการทำงาน |
2.9 -การสร้างระบบควบคุมคุณภาพในสายงานที่ไม่ใช่การผลิต |
2.10-การประสานงานกับหน่วยงานมหาวิทยาลัย และหน่วยงานที่ทำวิจัย |
2.11-การสร้างความเข้มแข็งด้านการแข่งขันในระดับสากล |
2.5 -การพัฒนาบุคลากร |
ความต้องการด้านคุณภาพของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ |
เพื่อให้พนักงานมีความสามารถในการตอบสนองที่ทันการเปลี่ยนแปลงนี้ CEO จะต้องทำให้มีโครงการพัฒนาบุคลากรที่สร้างเสริมศักยภาพพนักงานทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหารต่างๆลงมาจนถึงระดับปฏิบัติการเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะพร้อมเสมอต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว |
![]() |
สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้ : |
a.-การมอบหมายผู้รับผิดชอบในการทำโครงการอบรมทั่วทั้งองค์กร |
b.-การเขียนแผนในการอบรมคุณภาพสำหรับพนักงานทุกคนด้วยการปรึกษาร่วมกันกับฝ่ายต่างๆ |
c.-กำหนดรายละเอียดสิ่งที่จะอบรมสำหรับงานแต่ละตำแหน่งพร้อมทั้งกำหนดดรรชนีที่จะใช้วัดผลสัมฤทธิ์ |
d.-ตรวจสอบการปฏิบัติจริงของแต่ละหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรของตนตามแผนที่กำหนด |
e.-การจัดงบประมาณที่ชัดเจนสำหรับการอบรม |
f.-การวางแผนระยะยาวเพื่อให้มีผู้ฝึกสอนจากบุคลากรในองค์กรสำหรับการอบรมความสามารถในการบริหารและความชำนาญในการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุคุณภาพ |
g.-การได้มาตรฐานคุณภาพระดับชาติอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบางงาน ดังนั้นจึงควรจะมีตัวแทนอย่างน้อยฝ่ายละหนึ่งคนเพื่อประสานงานกับองค์กรในระดับชาติ |
h.-สำหรับมาตรฐานคุณภาพของเนื้องาน ต้องมีการสร้างระบบการจัดการคุณภาพขึ้นมา และต้องทำให้เป็นที่รับรู้กันทั่วทั้งบริษัท |
i.-การแต่งตั้งให้ผู้ที่ผ่านการอบรมคุณภาพมาแล้วให้เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมคุณภาพในองค์กร |
การให้ความรู้เรื่องการควบคุมคุณภาพ |
![]() |
การพัฒนาบุคลากรไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามควรจะมีการบรรจุเรื่องหลักการของคุณภาพไว้เสมอ ศิลปของการการดัดแปลงหลักการนี้ไปสู่การปฏิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน การให้ความรู้นี้จะต้องควบคู่ไปกับศาสตร์ด้านสถิติ และ วิธีการแก้ปัญหา(Problem-solving methods) เพื่อให้ได้ความรู้ครบทุกๆมิติที่จำเป็น |
การให้ความรู้ด้านคุณภาพมีขบวนการดังนี้ : |
a.-ฝ่ายบุคคลและฝ่ายคุณภาพกำหนดเป้าหมายที่ต้องการบรรลุของ คุณภาพทั้งองค์กร โดยวางแผนปฏิบัติการสำหรับการอบรมให้ชัดเจน ฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย ฝ่ายวิจัยและพัฒนา ฝ่ายบัญชี ฝ่ายอำนวยการควรกำหนดแผนในการอบรมของตนเอง |
b.-กำหนดแผนรายปีสำหรับการสอนและการอบรมในระหว่างปฏิบัติงาน (On-the-job-training) OJT นั้นอาจรวมถึงการประชุมสรุปประจำเดือน การรายงานผลสัมฤทธิ์ การส่งไปอบรมสถาบันฝึกอบรมนอกบริษัทก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง |
c.-การประชุมกลุ่มย่อยเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง การ ติวส่วนตัว ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับงานเฉพาะหน่วยงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่เห็นว่าจะได้ผลที่สุด |
d.-การอบรมควรแบ่งตามระดับสายบังคับบัญชาเพื่อให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบของระดับนั้นๆ อย่างไรก็ตาม UNIDO แนะนำว่าโดยทั่วๆไปแล้ว 3 ถึง 5 ระดับน่าจะเหมาะสมที่สุดโดยพิจารณาจากระดับต่างๆดังนี้: |
i. กรรมการผู้จัดการ | ![]() |
ii. ผู้จัดการฝ่าย ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายขาย | |
iii. ผู้จัดการส่วนงาน | |
iv. พนักงานทั่วไป | |
v. เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมคุณภาพ |
e.-สิ่งที่จะสอนแก่ระดับต่างๆมีดังนี้ |
i. ระดับอาวุโสจะถูกสอนเรื่องความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องคุณภาพ เพราะเขาจะต้องมีบทบาทในการเป็นผู้นำที่สร้างสรรค์ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลักดันงานคุณภาพทั้งองค์กร |
ii.การสอนผู้จัดการระดับกลางในเรื่องขบวนการที่ถูกต้องสำหรับระบบคุณภาพ การสอนวิชาสถิติเพื่อให้เขาสามารถเก็บข้อมูลจากการผลิตได้อย่างถูกต้อง |
iii.สำหรับพนักงานทั่วไป สอนให้เขารู้วิธีใช้เทคนิคของ QC เช่น QC-circle |
f.-คณะกรรมการคุณภาพของทั้งองค์กรจะต้องศึกษาแผนการอบรมต่างๆเพื่อความมั่นใจว่าแผนได้ครอบคลุมทุกส่วนงานอย่างเหมาะสมและสามารถหวังผลได้ |
h.-บันทึกกิจกรรมที่ได้ทำของทุกส่วนว่าทำตามแผนเพียงใด ประเมินผลสัมฤทธิ์ และให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในรอบต่อๆไป |
จากแผนและการปฏิบัติข้างต้น จะต้องมีการเก็บบันทึกค่าใช้จ่ายและนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทในที่ประชุมแผนประจำปี ฝ่ายต่างๆควรมีโอกาสในการนำเสนอความคืบหน้าของการพัฒนาบุคลากรนี้อย่างทั่วถึง |
การให้ความรู้เรื่องคุณภาพแก่ Suppliers ผู้ผลิตชิ้นส่วนวัตถุดิบแก่เรา |
คุณภาพ ที่กล่าวมาแล้วย่อมหมายรวมถึงวัตถุดิบที่เราซื้อมาประกอบเป็นสินค้าของเราด้วย ดังนั้นเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ Suppliers มีระบบคุณภาพ และการพัฒนาบุคลากรของเขาที่จริงจังเท่าๆกับเราด้วย ดังนั้น เราจึงต้องถือเป็นหน้าที่ในการให้ความรู้เรื่องคุณภาพแก่ Suppliers ของเราเช่นเดียวกันกับที่เราทำกับพนักงานของเรา |
การให้การสนับสนุนแก่ Suppliers มีดังนี้ : |
a.-ส่งผู้เชี่ยวชาญไปสอนแนวคิดและการสร้างระบบคุณภาพแก่ Suppliers |
b.-กำหนดให้ Suppliers ส่งผังเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเรื่องคุณภาพ วิสัยทัศน์ของเขาและเป้าหมายคุณภาพของวัตถุดิบที่เขาจะทำขายให้แก่เรา |
c.-เราต้องตรวจสอบระบบคุณภาพของ Suppliers อย่างสม่ำเสมอ และเขาต้องสร้างสร้างความมั่นใจแก่เราได้ว่าเขามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับเรา |
d.-เมื่อพบจุดบกพร่อง เราต้องส่งรายงานเพื่อแจ้งให้เขาส่งแผนปรับปรุงแก่เราใหม่ เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าเขามีการพัฒนาจริงและเพื่อที่เราจะช่วยชี้แนะเพื่อการปรับปรุงต่อไป |
UNIDO และ JSA พยายามชี้ให้เห็นความจำเป็นของ การพัฒนาบุคลากรผ่านการสร้างความเข้าใจของ CEO ผู้จัดการ และพนักงานทุกคน Suppliers ทุกรายด้วยการกำหนดเป็น-แผนแห่งชาติ-ที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญและร่วมมือ |
สิ่งที่ต้องทำอ่านดูแล้วที่จริงก็ พื้นๆ-ธรรมดาๆ เราเองก็คิดเองได้ ใช่ไหม ! เพียงแต่ของเขา ละเอียด-เน้น PDCA เท่านั้นเอง ! |
เข้าใจแล้วววว Eureka |
ร่วมใจ- สร้างวิธีการที่ละเอียดเน้นคุณภาพ-พัฒนาไม่หยุดนิ่ง คือ TQM ! |
พิชัย
อรุณพัลลภ |
Department
of Quality Management |
![]() |
|