TQM-episode -7 |
![]() |
|
![]() |
Chief Executive Officer Managing Policy |
ใน 2 ตอนที่แล้ว CEO ได้ทำ 2 งานแรกๆจากทั้งหมด 11 งานในการผลักดันนโยบายซึ่งประกอบด้วย : |
2.1 -การประชาสัมพันธ์นโยบายให้เป็นที่ทราบทั่วกันทั้งบริษัท |
2.2 -การวางโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน |
![]() |
2.4 -การสร้างความพอใจแก่ลูกค้า |
2.5 -การพัฒนาบุคลากร |
2.6 -การทำการควบคุมคุณภาพ |
2.7 -การวิเคราะห์ตรวจสอบว่าระบบทำงานของทุกฝ่ายอยู่ในกรอบที่รองรับงานคุณภาพ |
2.8 -การสร้างคู่มือเพื่อการควบคุม การตรวจสอบ กฏเกณฑ์ในการทำงาน มาตรฐานของสินค้าและการทำงาน |
2.9 -การสร้างระบบควบคุมคุณภาพในสายงานที่ไม่ใช่การผลิต |
2.10-การประสานงานกับหน่วยงานมหาวิทยาลัย และหน่วยงานที่ทำวิจัย |
2.11-การสร้างความเข้มแข็งด้านการแข่งขันในระดับสากล |
ในตอนนี้เราจะมาดูงานลำดับต่อไปของ CEO ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่า 2 ข้อแรก : |
2.3-การวางระบบที่จะรับมือกับสถานการณ์วิกฤติ |
CEO จะต้องมีแผนในการรับมือกับสถานการณ์ที่วิกฤติหรืออาจจะผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน เพราะแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นนานๆสักครั้งหนึ่ง ตราบใดที่มันก่อให้เกิดความเสียหายกับธุรกิจแล้วละก็ CEO ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่วันยังค่ำ ลองมาดูเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ แล้วคิดดูว่า ผู้ถือหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์ต้องการเห็นรูปแบบการจัดการวิกฤติแบบใด หากมันเกิดขึ้นจริงๆ : |
![]() |
a.-ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายมาตรฐาน ฝ่ายแบบ กลุ่มโครงการ ผู้รับเหมาปล่อยปละละเลยเรื่องคุณภาพ แอบทำผิดจากที่ เรากำหนดลับหลัง จนลูกค้าที่ซื้อบ้านพบเข้าจน นสพ.ไทยรัฐ เอาไปลงข่าวหน้าหนึ่ง ทำให้หุ้นของบริษัทฯตก10% ในวันเดียว ! |
b.-ถนนในโครงการมีความหนาน้อยกว่าที่ระบุในแบบที่ขออนุญาต ลูกค้าทั้งหมู่บ้านประท้วงกล่าวหาว่าบริษัทโกง |
c.-ทาวน์เฮ้าส์ทรุดทั้งหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงกว่า 100 ล้านบาท ยังไม่นับความไม่พอใจของลูกบ้านที่ฟ้องขอคืนเงินทั้งหมด ! |
ทั้ง 3 กรณีกระทบ : ภาพพจน์ ต้นทุน Cashflow ผลประกอบการ |
บริษัทจะเป็นอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นจริงๆ ? |
![]() |
ในฐานะ CEO จะต้องวางตัวผู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ไว้ล่วงหน้า ด้วย วิธีการรับมือ ที่ ออกแบบแผนวิธีการและมีการซักซ้อม ล่วงหน้า เพื่อให้บริษัทยังรักษา ภาพลักษณ์ และคุณค่า (Goodwill ) ที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจไว้ได้อยู่ ไม่ว่าวิกฤตินั้นจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม ! |
วิกฤติ อาจหมายรวมถึง การแข่งขัน ที่สูงขึ้นของธุรกิจก็ได้ หรือแม้กระทั่ง ผลกระทบ จากเศรษฐกิจเช่นวิกฤติการเงินที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาจนทำให้ Demand ที่เคยมีอยู่มากมายเหือดหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์ |
การวางแผนรับมือกับวิกฤติทำให้เกิดผลดีต่างๆดังนี้ : |
a-เมื่อเกิดวิกฤติ จะมีผู้ที่รู้ตัวดีอยู่แล้วสามารถปฏิบัติการได้ทันที ทำให้การรับสถานการณ์ฉับไว ตัดโอกาสการลุกลามหรือการขยายวงของปัญหา |
b-ฝ่ายอื่นๆที่ต้องให้ความร่วมมือสามารถสอดประสานให้การจัดการวิกฤติมีประสิทธิภาพทันต่อความเร่งด่วน |
c-วิธีการที่วางแผนมาดีจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีสติในการรับมือกับเหตุการณ์ในขณะที่ยังคงสามารถรักษา คุณค่า ที่สำคัญของธุรกิจไว้ได้ เช่น ภาพพจน์ ความพึงพอใจของลูกค้า ความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น ความเข้าใจระหว่างฝ่ายต่างๆในองค์กร(ไม่เกิดความขัดแย้งกันเองจากความไม่รู้ตัวมาก่อนเช่น การเกี่ยงกัน กระทบกระทั่งกันจากการที่เห็นลำดับความเร่งด่วนแตกต่างกันเป็นต้น) | ![]() |
UNIDO เน้นอย่างมากกับการวางตัว ผู้รับผิดชอบที่จะต้องรับมือกับวิกฤติไว้ดังนี้ : |
a-ผู้รับผิดชอบ ผู้นั้นจะต้องมี ความเป็นผู้นำ และ มีการตัดสินใจที่ดี และ กล้าตัดสินใจ |
b-CEO ต้องให้คำแนะนำและเป้าหมาย คุณค่าขององค์กร ที่ชัดเจนแก่ ผู้รับผิดชอบ และมอบหมายอำนาจที่ชัดเจนแก่เขา และต้องประกาศให้ผู้ที่ต้องให้ความร่วมมือรับทราบอย่างชัดเจน |
c-CEO ต้องกำหนดเอกสารที่จะใช้ในการรับมือกับวิกฤติ ในการบันทึก และในการรายงานแก่ CEO |
|
แม้จะขึ้นหัวข้อว่าด้วยเรื่องของ การรับมือในสถานการณ์วิกฤติ UNIDO ก็จบบทนี้ด้วยการย้ำแก่ CEO ว่าการรับมือกับวิกฤติที่ดีที่สุดก็คือ ทำงานเชิงป้องกันด้วยการเน้นขบวนการผลิตสินค้า และบริการที่มีคุณภาพเพื่อให้เกิด ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติ น้อยที่สุด ! |
สังเกตไหมครับว่า UNIDO และ JSA รอบคอบในการให้ความสำคัญกับ การเตรียมความพร้อมสำหรับวิกฤติแค่ไหน เพราะ ความพร้อมในทุกสถานการณ์ นำมาซึ่ง |
Efficiency และ Speed จากการที่มี ผู้รับผิดชอบ และจาก ความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง ! |
ธุรกิจ จะต้องไม่มี รูโหว่ ! |
พิชัย
อรุณพัลลภ |
Department
of Quality Management |
![]() |
|